ทฤษฎีสัมพันธภาพและกลศาสตร์ควอนตัม สู่การเดินทางของจิต การมองเห็นวิญญาน และกาลเวลา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย gotodido, 6 พฤษภาคม 2008.

  1. gotodido

    gotodido เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +147
    เมื่อฟิสิกส์คือการเรียนรู้ธรรมชาติ แล้วประยุกต์ความรู้นั้นออกมาเป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ฟิสิกส์ปัจจุบันยังไม่ถึงขึ้นผลิดเครื่องมือทำให้มนุษย์พ้นทุกข์เรื่องเกิดแก่เจ็บตายได้ เพราะมนุษย์ปัจจุบันก็ยังไม่ได้วิวัฒน์สมองถึงขั้นนั้น

    ความเห็นส่วนตัวนะครับ ผมขอพูดเรื่องฟิสิกส์กับใจ(จิต)นะครับ

    การพัฒนาของวิทยาศาสตร์มีขึ้นบนพื้นฐานความต้องการของมนุษย์เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสะดวกสะบายทุกอย่าง อย่างการเดินที่รวดเร็วที่มีรถ มีเครื่องบิน การสื่อสารที่รวดเร็ว แค่กดปุ่มก็ได้คุยกันแม้จะอยู่คนซีกโลก และยิ่งเร็วๆนี้ถ้า 3.5G(3Gตอนนี้เร็วกว่าทฤษฏี3Gแต่ก่อน) ในไทยเริ่มใช้แพร่หลาย เราคงได้เห็นรูป แบบrealtimeไปด้วยเวลาสนธนา ผมทำนายว่าจะมีเป็นแบบ 3D ออกมาอีกไม่กี่ปี

    อนาคตทำนายได้ไม่ยากถ้าไม่มีอุกาบาตทำลายโลก รึมนุษย์สูญพันธ์ไปซะก่อน เพราะคนเหล่ามากล้วนมีความต้องการที่มากขึ้นเรื่อยๆ

    อันนี้คือความจริง เห็นได้จริง ไม่ต้องถึงกับอ้างอิงพุทธทำนาย

    หนังวิทยาศาสตร์แสดงจินตนาการของโลกปัจจุบัน และอนาคตออกมามากมาย

    อย่างเรื่อง the one ที่พยายามอธิบาย ทฤษฏีจักรวาลคู่ขนาน
    http://www.siamzone.com/movie/m/560/synopsis

    เรื่องเมทริก ที่อธิบายความจริงของโลกอีกมุม จินตนาการเปรียบเทียบ ใส่ไข่ ใส่สี เพื่อทำให้หนังสนุก เนื้อเรื่องโดยหลักได้รับอิทธิพลจากคัมภีร์ปรัชญาพุทธสายมหายาน ทางธิเบต
    http://www.siamzone.com/movie/m/1366

    ตามหัวข้อกระทู้นั้นได้ถูกอธิบายจาก นักวิทยาศาสตร์คนไทยที่ทำงานให้นาซ่า ดร. วรภัทร์ ภู่เจริญ...
    ใจความที่ผมจับมามีประมาณนี้

    หลายท่านจำสมการนี้ได้นะครับ
    E(พลังงาน) = m(มวลของสาร)x c(ความเร็วแสง)ยกกำลังสอง
    สมการนี้เป็นต้นกำเนิด ระเบิดปรมณู อาศัยการแตกตัวของสาร

    แสงมีอัตราเร็วแสงที่ปัจจุบันวัดกันได้ที่ 299,792.458 กิโลเมตร/วินาที

    1ปีจูเลียน (365.25 วัน) แสงเดินทางได้ 9,460,730,472,580.8 กิโลเมตร หรือ 9.4607×10ยกกำลัง12 โดยประมาณ

    กาแล็กซี (Galaxy)ของเราชื่อ “กาแล็กซีทางช้างเผือก” (The Milky Way Galaxy) อยู่ห่างจาก กาแล็กซีเพื่อนบ้าน
    ที่ชื่อว่า “แอนโดรมีดา”(Andromeda galaxy) 2.3 ล้านปีแสง

    ดังนั้นการเดินทางไปยังอีกกาแล็กซีที่ใกล้ที่สุด ถ้าจะให้ใช้เวลาแค่ปีเดียว เราต้องเคลื่อนที่เร็วว่า ความเร็วแสง 2.3ล้านเท่า ของอัตราเร็ว 299,792.458 กิโลเมตร/วินาที

    มันเป็นไปไม่ได้ที่ร่างกายมนุษย์จะทนแรงกดดันของอากาศที่เกิดจากความเร็วนั้น ลองคิดถึงเวลาที่ขับรถเร็วๆนะครับสมมุติเหยียบ 220Km/hr นั่นเป็นความเร็วที่น้อยมากด้วยซ้ำ เรายังรู้สึกตึงๆ รึว่าคนที่เคยเล่นบันจี้จั๊ม ก็คงรู้สึกได้อีกแบบที่คล้ายๆกัน

    หนทางที่เป็นไปได้ ที่เราจะเดินทางไปยัง กาแล็กซีแอนโดรมีดา เราต้องไปในรูปแบบพลังงาน ตามสูตร

    E(พลังงาน) = m(มวลของสาร)x c(ความเร็วแสง)ยกกำลังสอง

    นั่นก็คือ การสลายมวลอนุภาคร่างกายเราเป็นพลังงาน แล้วเดินทางไป เมื่อถึงปลายทางก็ เปลี่ยนเราที่อยู่ในรูปพลังงานกลับเป็นมวลเหมือนเดิม(ย้อนสมการ)
    คงเคยได้ยินคำว่า"วาร์ป"ใช่มั้ยครับ นี่แหละครับ ทฤษฎีการวาร์ป การเดินทางแบบใหม่

    ทีนี้กลับมาเรื่องใกล้ตัว วิญญาณ( สัมภเวสี)ดำรงอยู่ในลักษณะของพลังงาน จิตเราเมื่อหลุดจากร่างกายก็ดำรงลักษณะเหมือนพลัง เวลาการเดินทางแค่นึกจะไปก็ถึงที่หมายเสียแล้ว จะเห็นว่าเร็วกว่าแสงหลายเท่านัก (แสงก็เป็นพลังงานรูปแบบนึง)
    หรือกรณีอย่างที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านใช้มโนมยิทธิไปดูหลุมดำ(Black hole) นั่นก็เป็นการเคลื่อนที่ที่เหนือความเร็วแสงอย่างเทียบไม่ได้(วาร์ป)


    เมื่อจิตเป็นพลังงาน เมื่อวิญญานคือพลังงาน การที่ตาเราจะมองเห็นวิญญานต้องมีความไวอย่างมาก โดยมากถ้าวิญญาณไม่ได้จงใจปรากฏให้เห็น ยากมากที่ตาเนื้อจะมองเห็นนอกจากผู้ที่มีตาจิต(เพราะจิตมีความเร็วมากมาย)

    การที่วิญญาณทั่วไป(สัมภเวสี) มองไม่เห็นเทวดา เทวดามองไม่เห็นพรหม พรหมมองไม่เห็นอรูปพรหม ก็เพราะความต่างของพลังงาน พลังงานต่างกันที่ความถี่กับความยาวคลื่น คลื่นความถี่ที่ตาเนื้อพอมองเห็นได้คืออยู่ในย่าน 380 THz (3.8×10<SUP>14</SUP> เฮิรตซ์) ถึง 750 THz (7.5×10<SUP>14</SUP> เฮิรตซ์)
    คนเราเห็นผีได้ง่ายกว่าเห็นเทวดา เพราะผีมีความถี่สูง ความยาวคลื่นน้อยกว่าเทวดา ยิ่งเทวดาชั้นสูงๆยิ่งมีความยาวคลื่นมากขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ ความถี่ก็ต่ำลงตามลำดับ
    จนถึงระดับพระนิพพานที่คลื่นพลังงานเข้าสู่เส้นตรง ตามแนวแกนx
    ถามว่าวัดจากอะไร ตอบว่าวิเคราะห์จากแนวโน้มของกราฟ ที่แกน y คือความสูงคลื่น แกนx ตือความยาวคลื่น




    สุดท้ายใจเราก็เป็นใหญ่ ใจเราคือที่สุด เครื่องมือใดๆก็เร็วไม่สู้ใจของเรา แต่ใจเรามีแค่อันเดียว ไม่เหมือนคอมฯที่ตอนนี้กำลังจะมีProcessorแบบ 8แกน(core) ออกมาให้ใช้เร็วๆนี้

    ตอนนี้เลยต้องพึ่งทั้งใจและเทคโนโลยี

    เดี๋ยวจะมาพูดเรื่องเวลา ต่อนะครับ

    -------------------------------------------------------------------------------------

    มาต่อกันครับ จากครั้งก่อน


    ทฤษฎีสัมพัทธภาพ(พิเศษ):พ.ศ. 2448,อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
    "Put your hand on a hot stove for a minute,and it seems like an hour.
    Sit with a pretty girl for an hour,and it seems like a minute.
    That's relativity."
    “เมื่อท่านเอามือวางลงบนเตาไฟร้อน ๆ เพียง 1 นาที ท่านจะคิดว่าเป็น 1 ชม.แต่ถ้าท่านนั่งอยู่กับสาวสวยน่ารัก ๆ คนหนึ่ง ผ่านไปเวลา 1 ชมท่านจะคิดว่าเหมือนผ่านไป 1 นาที, นั่นแหละ สัมพันธภาพ"

    ฟิสิกส์ ควอนตัม(Quantum)
    คำนิยาม ควอนตัม คือปริมาณต่ำสุดของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น เงิน1 บาท มี 100สตางค์ เทียบว่าสตางค์คือควอนตัมของเงิน1บาท ไม่ว่าจะมีกี่บาทก็สามารถเขียนออกเป็นสตางค์ได้

    จากการทดลองต่างๆที่สำคัญโดยใช้หลักฟิสิกส์ควอนตัม(ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กตริก,การกระเจิงคอมพ์ตัน)พิสูจน์ได้ว่า
    - อนุภาคสามารถแสดงคุณสมบัติของทั้งอนุภาคและคลื่นได้
    - คลื่นสามารถแสดงคุณสมบัติของทั้งอนุภาคและคลื่นได้

    ร่างกายคนเราประกอบด้วยสารหลายชนิด เช่นเนื้อหนังที่ประกอบไปด้วย โมเลกุลของไขมัน,ของโปรตีนและของน้ำตาล ย่อยลงไปอีกก็คือ สาร(อะตอม) คาร์บอน,ไนโตรเจน,ไฮโดรเจน,ออกซิเจน,เหล็ก ฯลฯ หากย่อยให้เล็กลงไปอีกจะพบ อิเล็กตรอน โปรตอน นิวตรอน ตามฟิสิกส์แบบเก่า
    <IFRAME src="http://www.moneytalks.co.th/atom.html" frameBorder=0 width=200 scrolling=no height=200></IFRAME>

    แต่ถ้าตามปุจจุบันเวลานี้ อนุภาคที่ค้นพบ ถูกแบ่งเป็น3กลุ่ม คือ

    - Fermions เฟอมิออน : Quarks: u · d · c · s · t · bLeptons: e<SUP>−</SUP> · e<SUP>+</SUP> · μ<SUP>−</SUP> · μ<SUP>+</SUP> · τ<SUP>−</SUP> · τ<SUP>+</SUP> · ν<SUB>e</SUB> · ν<SUB>μ</SUB> · ν<SUB>τ</SUB> · ν<SUB>e</SUB> · ν<SUB>μ</SUB> · ν<SUB>τ</SUB>

    - Bosons โบซอน: Gauge bosons: γ · g · W<SUP>±</SUP> · Z

    - Other : Ghosts

    และล่าสุด คือ Higgs boson หรือ อนุภาค ฮิกส์ แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับอย่างเป็นทางการ จึงยังไม่จัดเข้ากลุ่ม
    "Mentions of the Higgs boson (sometimes referred to in popular articles as the 'God particle')"


    เวลา ในนิยามที่ผมเข้าใจ

    นิยามตามพุทธศาสนาได้ว่า
    สิ่งทั้งหลายมีการเปลี่ยนแปลง
    สิ่งทั้งหลายคงสภาพเดิมไม่ได้
    สิ่งทั้งหลายไม่มีตัวตน

    นิยามตามฟิสิกส์ (พิจารณา จากรูปอะตามด้านบน)
    t(เวลา) = m(ระยะทาง)/v(ความเร็ว)

    (*หมายเหตุ t ตามสมการเป็น เวลาเฉลี่ยนะครับ เพราะได้จากสมการอนุกรม จะให้ถูกจริงๆ ก็ต้องดีไลท์สมการก่อน แต่เอาแบบง่ายๆไว้ก่อนนะครับ)

    เมื่อทุกสรรพสิ่งมีคุณสมบัติเป็นคลื่นและพลังงาน เวลาในที่นี้ก็คือเวลาของอนุภาค(กระจุกพลังงาน) นั่นก็คือการที่อิเล็กตรอนวิ่งด้วยความเร็วคงที่ รอบโปรตรอน(กับนิวตรอน) เขียนตามสมการได้ว่า

    t(เวลา) = ระยะทางรอบกลุ่มโปรตอน(อาจจะมีนิวตรอนปนอยู่หรือโปรตรอนมีมากกว่า1) / ความเร็วเชิงมุมของอิเล็กตรอน(ในอวกาศเทียบเท่าความเร็วแสง)

    จะเห็นว่า
    1. t(เวลา) จะมีค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆครั้งล่ะน้อยมากๆชนิดที่ว่าเรารู้สึกไม่ได้ ยังไม่มีเครื่องมือวัดระยะทางบนนิวเครียส(กลุ่มโปรตอนและนิวตรอน)ที่ละเอียดที่สุดได้ แต่เรารู้ได้ว่าเวลาผ่านไป

    2. t(เวลา) ของสะสารทุกอย่างมีค่าเท่ากัน เพราะอิเล็กตรอนวิ่งไม่มีวันหยุด ระยะทางเป็นอนันต์

    3. t(เวลา) ของโลกอื่น เช่นของสวรรค ของนรก อาจไม่เท่ากัน เพราะความเร็วเชิงมุมของอิเล็กตรอนที่ต่างกัน(ตรงนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้เป็นเพียงคำสันนิษฐานของผม) ของโลกเราใช้มาตฐานเดียวคือความเร็วของอิเล็กตรอนเท่ากับความเร็วของแสงในอวกาศ สาเหตุที่เวลานรก สวรรค์ต่างกันก็เรื่องความหยาบของพลังงาน ความต่างของพลังงาน (อิเล็กตรอนคืออนุภาค อนุภาคมีคุณสมบัติของคลื่น คลื่นก็คือพลังงานรูปแบบนึง)

    เวลา ตามพระพุทธศาสนาเกิดจากอนิจจัง เพราะอิเล็กตรอนไม่มีวันหยุด เคลื่อนที่ไปเรื่อย (รอบนิวเครียส) ทั้งอิเล็กตรอน และนิวเครียสมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่นถ้าสารใดโปรตรอนโดยกระตุ้นให้มีพลังงานมากพอ อิเล็กตรอนวงนอกสุดจะถูกผลักออก ไปรวมกับสารอื่น (ตรงนี้มีการเกิดขึ้นตลอดเวลา)
    เวลา ตามพระพุทธศาสนาเกิดจากทุกขัง เพราะ อะตอมใดๆคงสภาพเดิมไม่ได้ อนุภาคมีการเปลี่ยนแปลง
    เวลา ตามพระพุทธศาสนาเกิดจากอนัตตา เพราะ ทั้ง อิเล็กตรอน และนิวเครียสก็ล้วนแต่เป็นอนุภาค ที่เกิดจากพลังงานรวมเป็นก้อน พลังงานไม่มีตัวตน




    สรุปตามที่ผมสันนิษฐาน

    เวลา เกิดจากการวิ่งของอนุภาคอิเล็กตรอนด้วยความเร็วแสง บนระยะทางที่เป็นอนันต์รอบนิวเครียส
    เวลา เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ละเอียดมากจนวัดไม่ได้แต่รู้สึกได้ว่าเวลาผ่านไป
    เวลา เกิดจากตัวเราและธรรมชาติรอบตัวเรา ที่มีการแปลงแปลง คงสภาพเดิมไม่ได้ และไม่มีตัวตน
    (หน่วยย่อยสุดของตัวเราและธรรมชาติคือ อะตอม ที่ประกอบด้วยอนุภาคต่างๆ ดังรูปที่นำมาแสดงด้านบน)


    **เวลา ปัจจุบัน ถูกกำหนดจากความมืดและความสว่างที่เกิดจากหมุนรอบตัวเองของโลก(วัน) และฤดูกาลที่เกิดจากการหมุนรอบดวงอาทิตย์(ปี) เป็นแค่สมมุติของเวลา เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน







    ข้อความส่วนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวอีกนะครับ

    การวาร์ปตามทฤษฎีสัมพันธภาพเมื่อใช้กับจิตจะเห็นได้อย่างชัดเจน

    Time machine นั้น อาศัยหลักการ การเร่งความเร็วอนุภาค การหยุดอนุภาค และการวิ่งย้อนกลับของอนุภาค ซึ่งมีความเป็นไปได้ในทางทฤษฎีและการคำนวน มีผู้พยายามสร้างเครื่องที่ว่าหลายคนในขณะนี้ รวมถึงเครื่องย่นระยะทาง-วาร์ป(warp) ด้วย

    การย้อนเวลา หยุดเวลา การข้ามเวลา เมื่อนำมาใช้กับจิต จิตเมื่อฝึกดีแล้วย่อมสามารถบังคับให้เร็ว ให้ช้าก็ได้ตามใจนึก

    การทำให้จิตช้าลงจะทำให้เกิดการเร่งของเวลา ถ้าเดินจิตไปเบื้องหน้า(ทิศทางที่เป็นบวก) เมื่อนั้นก็สามารถไปอนาคตได้ ถ้าเดินเดินจิตถอยหลัง(ทิศทางที่เป็นลบ) เมื่อนั้นก็ย้อนอดีตได้ แต่จะย้อน รึไปยังอนาคตได้ไกลแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการ เร่งเวลาของจิต

    การทำให้จิตหยุดการเคลื่อนที่ เมื่อนั้นก็จะไม่มีเวลา เพราะความเร็วของจิตเป็น 0 ระยะทางไม่มีความหมาย เวลาที่ได้จะเป็น 0 นั่นคือสภาวะนิพพาน

    ---------------------------------------------------------



    "เอกภพคู่ขนาน"

    <IFRAME src="http://www.vcharkarn.com/vastronomy/pic_dir/A313/A313p4x1.jpg" frameBorder=0 width=550 scrolling=no height=200></IFRAME>

    การกำเนิดของจักรวาลเกิดขึ้นเมื่อ
    (ก) เอกภพคู่ขนานอีกอันหนึ่งคลื่อนที่เข้ามาใกล้
    (ข) เมื่อเอกภพคื่อขนานทั้งสองชนกันจะเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่เรียกว่าบิกแบง
    (ค) จากนั้นแผ่นเอกภพทั้งสองก็จะเคลื่อนที่ออกจากกัน เอกภพเกิดการขยายตัวเกิดเป็นเอกภพที่เราเห็นในปัจจุบัน
    (ง) เมื่อขยายตัวมาขึ้นมวลสารในเอกภพก็จะเจือจางลง
    (จ) จนเมื่อถึงจุดหนึ่งแรงดึงดูดระหว่างมวลของเอกภพคู่ขนานทั้งสองก็จะดึงให้มันวิ่งเข้าหากัน และเกิดกระบวนการบิกแบงอีกครั้ง ซึ่งในทฤษฎีนี้เอกภพไม่มีจุดจบ แต่จะเกิดใหม่เรื่อยๆ


    ---------------------------------------------------------------
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2008
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    wow น่าสนใจจริงๆ
    รอติดตามอ่าน
     
  3. โปเต้ผู้ใฝ่ธรรม

    โปเต้ผู้ใฝ่ธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2007
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +573
    E=n x cกำลัง2

    O_0!!

    ผมยังงงๆ

    แต่ก็จะอ่านให้เข้าใจให้ได้ครับ^^
     
  4. gotodido

    gotodido เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +147
    รูปภาพประกอบเรื่องจักรวาลที่เราอยู่ครับ


    <IFRAME src="http://61.47.6.184/jabchai/images_joke/6593/6593-1.jpg" frameBorder=0 width=160 scrolling=no height=850></IFRAME>



    รูปแรก คือ โลก (The Earth)

    รูปสอง คือ ระบบสุริยะ (Solar System)

    รูปสาม คือ ดาวฤกษ์เพื่อนบ้าน (Stars) และระบบอื่น กลุ่มดาวอื่น

    รูปสี่ คือ กาแล็กซี (Galaxy)ทางช้างเผือกของเรา มีรูปร่างเหมือนกังหัน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 แสนปีแสง ประกอบด้วยดาวฤกษ์ประมาณ 1 พันล้านดวง เวลาเรามองไปบนท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งไม่มีแสงไฟ และควันบังชั้นบรรยากาศ เราจะเห็นกาแล็กซี ทางช้างเผือก

    รูปห้า คือ กระจุกกาแล็กซี (Cluster of galaxies)กาแล็กซีมิได้อยู่กระจายตัวด้วยระยะห่างเท่า ๆ กัน หากแต่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม (Group) หรือกระจุก (Cluster) "กลุ่มกาแล็กซีของเรา" (The Local Group) ประกอบด้วยกาแล็กซีมากกว่า 10 กาแล็กซี กาแล็กซีเพื่อนบ้านของเรา มีชื่อว่า "กาแลกซีแอนโดรมีดา" (Andromeda galaxy) อยู่ห่างออกไป 2.3 ล้านปีแสง กลุ่มกาแล็กซีท้องถิ่นมีขนาดเส<WBR>้นผ่านศูนย์กลาง 10 ล้านปีแสง

    รูปหก คือ ซูเปอร์คลัสเตอร์ (Supercluster)ซูเปอร์คลัสเตอร์ ประกอบด้วยกระจุกกาแล็กซ<WBR>ีหลายกระจุก "ซูเปอร์คลัสเตอร์ของเรา" (The local supercluster) มีกาแล็กซีประมาณ 2 พันกาแล็กซี ตรงใจกลางเป็นที่ตั้งของ "กระจุกเวอร์โก" (Virgo cluster) ซึ่งประกอบด้วยกาแล็กซีประมาณ 50 กาแล็กซี อยู่ห่างออกไป 65 ล้านปีแสง กลุ่มกาแล็กซีท้องถิ่นของเรา กำลังเคลื่อนที่ออกจากกระจ<WBR>ุกเวอร์โก ด้วยความเร็ว 400 กิโลเมตร/วินาที

    รูปเจ็ด คือ เอกภพ (Universe)
    "เอกภพ" หรือ "จักรวาล" หมายถึง อาณาบริเวณโดยรวม ซึ่งบรรจุทุกสรรพสิ่งทั้งหมด นักดาราศาสตร์ยังไม่ทราบว่า ขอบของเอกภพสิ้นสุดที่ตรงไหน แต่พวกเขาพบว่ากระจุกกาแล็กซ<WBR>ีกำลังเคลื่อนที่ออกจากกัน นั่นแสดงให้เห็นว่าเอกภพกำล<WBR>ังขยายตัว เมื่อคำนวณย้อนกลับนักดาราศาสตร<WBR>์พบว่า เมื่อก่อนทุกสรรพสิ่งเป็นจุด ๆ เดียว เอกภพถือกำเนิดขึ้นด้วย "การระเบิดใหญ่" (Big Bang) เมื่อประมาณ 13,000 ล้านปีมาแล้ว


    -----------------------------------------------------------

    ต่อเรื่องฟิสิกส์ควอนตัมครับ


    โอกาสที่อิเล็กตรอนจะวิ่งได้เร็วกว่าความเร็วแสงนั้น ต้องหาอะไรที่วิ่งเร็วได้เท่ากันจะได้ตามมันทัน เพื่อไปเตะก้นมัน

    จากตรงนี้เองเครื่อง Large Hadron Collider จึงถูกสร้างขึ้นมา

    " Large Hadron Collider (LHC) เป็นเครื่องเร่งความเร็วอนุภาค ของศูนย์วิจัย CERN ในสวิตเซอร์แลนด์ มีลักษณะเป็นท่อใต้ดินวนเป็นวงกลมยาว 27 กิโลเมตร เป้าหมายของ LHC คือใช้ทดลองเร่งความเร็วอนุภาคแล้วเอามาวิ่งชนกัน เพื่อตรวจสอบทฤษฎีทางฟิสิกส์อนุภาคว่าเป็นไปได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะ Higgs Boson ซึ่งถ้าสร้างขึ้นมาได้จริงตามทฤษฎี วงการฟิสิกส์จะก้าวหน้าขึ้นไปอีกมาก LHC ตอนนี้กำลังสร้างอยู่และมีกำหนดเปิดใช้งานเดือนพฤษภาคมนี้(2008)

    อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่คาใจเรื่องความปลอดภัยของ LHC ในหลายประเด็น เช่นว่า การใช้งาน LHC อาจก่อให้เกิดแบล็คโฮลขนาดเล็กขึ้นมาทำลายล้างโลก หรือเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กโลกให้เหลือข้างเดียวได้ ล่าสุดได้มีคนยื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐ ให้กระทรวงพลังงานสหรัฐและห้องทดลอง Fermilab ซึ่งเป็นภาคีสมาชิกของ LHC ชะลอการใช้งานไปอีก 4 เดือนเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย ซึ่งทางฝ่ายสนับสนุน LHC เองก็ออกมาโต้แย้งว่าไม่มีหลักฐานใดๆ ว่าจะเกิดอันตรายขึ้นแต่อย่างใด ส่วนศาลจะรับฟ้องหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างกระบวนการด้านเอกสาร "

    ภาพเครื่องLarge Hadron Collider
    <IFRAME src="http://farm3.static.flickr.com/2159/2162816861_ab74009e9a_o.jpg" frameBorder=0 width=600 scrolling=no height=350></IFRAME>

    <IFRAME src="http://farm2.static.flickr.com/1365/1086071141_52b17f1087.jpg?v=0" frameBorder=0 width=500 scrolling=no height=375></IFRAME>

    <IFRAME src="http://farm2.static.flickr.com/1090/1086097119_8ff0e789a2.jpg?v=0" frameBorder=0 width=500 scrolling=no height=375></IFRAME>

    <IFRAME src="http://farm3.static.flickr.com/2168/2163618172_6e7d2ec0dd_o.jpg" frameBorder=0 width=685 scrolling=no height=570></IFRAME>





    <IFRAME src="http://www.ngthai.com/0803/images/god-particle-06.jpg" frameBorder=0 width=650 scrolling=no height=500></IFRAME>

    link ที่สนใจเรื่องความเสี่ยงของการทดลองนี้
    http://www.lhcconcerns.com/LHCConcerns/Forums/phpBB3/viewtopic.php?t=134
    http://www.risk-evaluation-forum.org
    http://www.lhcdefense.org/
    http://www.lhcconcerns.com/



    ไม่แน่นะครับถ้าเกิดความผิดพลาดในการทดลองขึ้นจริงๆ เช่นทำให้แม่เหล็กของโลกเหลือขั้วเดียว รึอะไรก็แล้วแต่ที่อยู่นอกเหนือการคำนวณ เราคงได้สนุกกันแน่ ตอนนี้ชะลอการใช้งานไปอีก 4 เดือนเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย เดือนกันยาก็ได้มีลุ้นครับ




    ---------------------------------------------------------------



    มีข้อเทียบเคียงเรื่องบิ๊กแบง
    (ผมแค่สันนิษฐานนะครับ)

    - ถามว่าตอนนี้เอกภพอยู่ที่ไหน อะไรคือเอกภพ ดูเหมือนไกลตัว

    = ไม่รู้ว่าจะเป็นทฤษฎีกำปั้นทุบดินสำหรับคนที่สนใจแต่ฟิสิกส์รึเปล่า

    โลกเราอยู่ในเอกภพ เป็นส่วนนึงของเอกภพ ง่ายๆก็คือเอกภพsection นึง
    ตัวเรา(ขันธ์ห้า)อยู่ในโลก เป็นส่วนของโลก ก็คือ เอกภพsection นึง
    อวิชชาอยู่ในตัวเรา ก็คือ เอกภพsection นึง
    จิตเดิมตามที่หลวงปู่มั่นบอกว่าเป็นต้นกำเนิดของอวิชชาก็อยู่ในตัวเรา ก็คือ เอกภพsection นึง

    เห็นต้นกำเนิดของเอกภพรึยังครับ
    มาจากความว่างเปล่า

    ซึ่งถ้าอธิบายทางฟิสิกสืไม่ได้ว่างเปล่าซะทีเดียว

    เข้ามาดูทางฟิสิกส์ ควอนตัม

    (คัดลอกมาจากวิชาการดอทคอม)
    ปัจจุบัน อธิบายได้ว่า เล็กสุดของธาตุอะตอมต่างๆคือ อนุภาคต่างๆ อนุภาคที่มีนาดเล็กสุดที่แต่ก่อนเข้าใจคือ อิเล็กตรอน โปรตรอน นิวตรอน ต่อมามีการศึกษาหน่วยย่อย อนุภาคสามตัวแรก พบว่ามี"พลาสมา"เพิ่มขึ้นมาในนิวเครียสของอะตอมของสาร พลาสมาเป็นสถานะหนึ่งของสสารในธรรมชาติที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อนเพราะอยู่ในสภาวะสุดโต่งที่ไม่สามารถพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน สภาวะสุดโต่งดังกล่าวคือสภาวะที่มีอุณหภูมิสูงกว่าประมาณ 175 MeV (ประมาณ 2 ล้านล้านเคลวิน!) และมีความหนาแน่นประมาณ 1 GeV/ลูกบาศก์เฟมโตเมตร หรือประมาณ 2 พันล้านล้านตันต่อลูกบาศก์เมตร โดยมีอนุภาคมูลฐานที่เรียกว่าควาร์ก และกลูออน

    ควาร์กและกลูออน คืออะไร?

    ในแบบจำลองมาตรฐานของฟิสิกส์อนุภาค (The Standard Model of particle physics) อนุภาคมูลฐาน (elementary particles) มี 2 ประเภท คือ โบซอน (boson) และ เฟอร์มิออน (fermion) โบซอนเป็นอนุภาคสปินเลขจำนวนเต็ม (integer spin) ส่วนเฟอร์มิออนเป็นอนุภาคสปินเลขครึ่งจำนวนเต็ม (half integer spin) เช่น 1/2 3/2 5/2 ฯลฯ

    หมู่อนุภาคโบซอนได้แก่ โฟตอน (photon) อนุภาคซี (Z) อนุภาคดับบลิว (W) และ อนุภาคกลูออน ส่วนอนุภาคฮิกส์ (Higgs particle) บางครั้งก็ถูกนับรวมอยู่ใน Standard Model แม้จะยังไม่มีการค้นพบอย่างเป็นทางการ นักฟิสิกส์จำนวนไม่น้อยเชื่อว่าเราจะพบอนุภาคฮิกส์โดย LHC (Large Hadron Collider) ที่ ห้องปฏิบัติการ CERN ในไม่ช้า
    (ตอนนี้ผมเข้าใจว่าฮิกส์เล็กสุด แต่ยังไม่เป็นที่ยอบรับ)

    หมู่อนุภาคเฟอร์มิออน ประกอบไปด้วยอนุภาคเลปตอน (lepton) และควาร์ก (quark) ซึ่งมี 3 รุ่น (3 generations, 3 families) ควาร์กรุ่นแรกคือ ควาร์กชนิด up (up quark)และชนิด down (down quark) รุ่นที่สองคือ ชนิด charm และชนิด strange ส่วนรุ่นที่สามคือ ชนิด top และชนิด bottom ควาร์กที่พบในนิวเคลียสของธาตุเป็นควาร์กรุ่นแรก ควาร์กรุ่นอื่นๆนั้นเราพบในอนุภาคอายุสั้นมวลปานกลางที่เรียกว่าเมซอน (mesons) เป็นสิ่งที่น่าสนใจว่าในขณะที่โบซอนใน Standard Model มีแค่ 1 รุ่น เฟอร์มิออนกลับมีถึง 3 รุ่น อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เฟอร์มิออนมีหลายรุ่นยังเป็นคำถามที่ไม่มีใครรู้คำตอบที่แน่ชัด


    การที่เราไม่สามารถสังเกตเห็นควาร์กหรือกลูออนอิสระ ตัวเดียวโดดๆได้ สมบัตินี้เรียกว่า การกักขัง (confinement) ของควาร์กและกลูออน ควาร์กและกลูออนจะถูกกักขังอยู่ในนิวเคลียสของธาตุต่างๆ (มีควาร์ก 3 ตัว) และในอนุภาคเมซอน (มีควาร์ก 2 ตัว) เราพบว่าความแรงของแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มมีขนาดลดลงเมื่อระดับพลังงานที่เกี่ยวข้องมีค่าสูงขึ้นซึ่งตรงกันข้ามกับแรงแม่เหล็กไฟฟ้าและแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนที่จะมีความแรงมากขึ้นเมื่อพลังงานที่เกี่ยวข้องมีค่าสูงขึ้น

    มีนักวิทยาศาสตร์บางท่าน นำความรู้ที่ค้นพบใหม่นี้ มาพิสูจน์ความต่างของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต

    จนนำไปสู่การทดลองสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นจากพลังงาน



    --------------------------------------------------------------
    บทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่อง LHC


    แม้นักฟิสิกส์ทั่วโลกจะใช้เวลาถึง 14 ปีและลงทุนไปกว่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสร้างเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (Large Hadron Collider: LHC) ที่ใหญ่สุดในโลก ภายใต้ความร่วมมือขององค์การศึกษาวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป "เซิร์น" (Cern) เพื่อเร่งให้อนุภาคโปรตอนชนกัน แล้วสร้างพลังงานและเงื่อนไขที่เหมือนกับเสี้ยววินาทีที่ 1 ในล้านล้านล้านหลังเกิดบิกแบง (Big Bang) โดยนักวิทยาศาสตร์จะวิเคราะห์เศษซากที่เกิดขึ้น เพื่อไขปริศนาธรรมชาติของมวลและแรงใหม่ๆ รวมถึงความสมมาตรของธรรมชาติด้วย

    หากแต่วอลเตอร์ แอล.วากเนอร์ (Walter L.Wagner) ผู้อาศัยอยู่ในมลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา และศึกษาวิจัยฟิสิกส์และรังสีคอสมิกที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเลย์ (University of California, Berkeley) ทั้งยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยนอร์เธิร์นแคลิฟอร์เนียในซาคราเมนโต (University of Northern California in Sacramento) และลูอิส ซานโช (Luis Sancho) ซึ่งระบุว่าทำวิจัยเกี่ยวกับทฤษฎีเวลาและอาศัยอยู่ในสเปน ได้ฟ้องต่อศาลฮาวายเพื่อเรียกร้องสิทธิให้ระงับการทดลองของเซิร์น เนื่องจากอาจทำให้เกิดหลุมดำขนาดเล็กที่อาจ "กินโลก" หรือทำให้เกิดอนุภาคแปลกๆ ที่เปลี่ยนโลกให้หดกลายเป็นก้อนที่มีความหนาแน่นสูง

    ทั้งนี้แม้จะฟังดูประหลาด แต่กรณีนี้ก็เป็นประเด็นเคร่งเครียดที่สร้างความวิตกให้กับนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ในช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้ กล่าวคือพวกเขาจะประมาณความเสี่ยงจากการทดลองใต้ดินที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนนี้ได้อย่างไร และใครที่จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะหยุดหรือเดินหน้าการทดลอง
    ในเอกสารคำฟ้องร้องของทั้งสองคนยังกล่าวอีกว่า เซิร์นล้มเหลวในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามข้อกำหนดของกฎหมายด้านนโยบายสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ จึงเรียกร้องให้ระงับการทดลองชั่วคราวจนกว่าเซิร์นจะได้ทำการประเมินความปลอดภัยและผลกระทบสิ่งแวดล้อมก่อน

    ผู้ที่เป็นจำเลยของการฟ้องร้องครั้งนี้ นอกจากเซิร์นแล้วยังมีกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ห้องปฏิบัติการเร่งอนุภาคเฟอร์มิแห่งสหรัฐฯ (Fermi National Accealerator) หรือเฟอร์มิแล็บ (Fermi Lab) มูลนิธิวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ

    วากเนอร์และซานโชได้ยื่นคำร้องให้ศาลไปเมื่อวันที่ 21 มี.ค.51 ที่ผ่านมา และจะมีการไต่สวนในวันที่ 16 มิ.ย.51 ซึ่งไม่ว่าเซิร์นซึ่งเป็นองค์การวิจัยของชาติยุโรปที่ตั้งอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์จะเดินทางไปที่ศาลในฮาวายเพื่อให้ปากคำหรือไม่ แต่วากเนอร์กล่าวว่าองค์กรวิจัยระดับโลกนี้ต้องยอมรับในคำตัดสินของศาลแต่โดยดี และเพิ่มเติมว่าเขายังสามารถยื่นฟ้องแก่ศาลในฝรั่งเศสหรือสวิตเซอร์แลนด์ได้ อย่างไรก็ดีเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายพวกเขาจึงยื่นฟ้องในสหรัฐฯ แทน

    นอกจากนี้วากเนอร์ยังเรียกร้องให้เฟอร์มิแล็บและกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ยุติการสนับสนุนและช่วยเหลือในการสร้างแม่เหล็กตัวนำยิ่งยวดขนาดยักษ์ที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องเร่งอนุภาคไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
    ทางด้านเจมส์ ยิลลิเอส (James Gillies) หัวหน้าโฆษกที่เซิร์นกล่าวว่า เซิร์นยังไม่มีความเห็นใดๆ ต่อการฟ้องร้องดังกล่าว และยังเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจว่าศาลท้องถิ่นในฮาวายจะพิพากษาองค์กรนานาชาติซึ่งตั้งอยู่ที่ยุโรปได้อย่างไร
    โฆษกของเซิร์นระบุอีกว่า ขณะนี้ยังไม่มีอะไรใหม่ที่บ่งชี้ว่าเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีนั้นไม่ปลอดภัย และเสริมอีกว่าความปลอดภัยของเซิร์นได้นำเสนอผ่านรายงาน 2 ฉบับ ส่วนฉบับที่ 3 กำลังอยู่ระหว่างการจัดทำซึ่งจะเป็นหัวข้อให้อภิปรายกันในวันเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมห้องปฏิบัติการใต้ดินของเซิร์นในวันที่ 6 เม.ย.51 นี้

    อย่างไรก็ดีคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่จากเซิร์นก็ไม่ได้ทำให้วากเนอร์สงบลง โดยเขาได้กล่าวว่าเซิร์นได้ปล่อยโฆษณาชวนเชื่ออย่างมากว่ามีความปลอดภัย แต่โดยพื้นฐานแล้วก็ยังเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่ออยู่นั่นเอง
    นักฟิสิกส์ที่อยู่ทั้งในและนอกเซิร์นกล่าวว่าการศึกษาหลายๆ แห่งซึ่งรวมถึงรายงานอย่างเป็นทางการของเซิร์นเมื่อปี 2546 ให้ข้อสรุปว่าการทดลองไม่มีปัญหาใด แต่เพียงเพื่อความมั่นใจ เมื่อปีที่แล้วกลุ่มประเมินความปลอดภัยนิรนามได้เตรียมเพื่อจัดทำบทวิจารณ์ความปลอดภัยอีกครั้ง

    "ความเป็นไปได้ที่หลุมดำจะกลืนกินโลกนั้นเป็นเรื่องเคร่งเครียดที่ถกเถียงกันเฉพาะในหมู่คนสติไม่สมประกอบเท่านั้น" มิเคาลางเจโล มางกาโน (Michelangelo Mangano) นักทฤษฎีที่เซิร์นกล่าว
    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่วากเนอร์ออกมาคัดค้านการทดลอง เมื่อปี 2542 และ 2543 เขาได้ยื่นฟ้องในลักษณะเดียวกันนี้กับห้องปฏิบัติการบรูกฮาเวนแห่งสหรัฐฯ (Brookhaven National Laboratory) ไม่ให้เดินเครื่องเร่งไออนธาตุหนัก (Relativistic Heavy Ion Collider) แต่ศาลก็ไม่รับคำฟ้องดังกล่าวในปี 2544 ขณะที่เครื่องดังกล่าวได้เร่งให้ไออนของทองชนกัน เพื่อหวังว่าจะสร้างสิ่งที่เรียกว่า "พลาสมาควาร์ก-กลูออน" (Quark-gluon plasma) โดยทำให้เกิดอุบัติเหตุมาตั้งแต่ปี 2543

    : จากบทความ ข่าว ฟ้องศาลระงับ "เซิร์น" เดินเครื่องหวั่นเกิดหลุมดำทำลายโลก



    ไม่ควรมองเป็นเรื่องไกลตัวนะครับ เพราะเรื่องนี้บอกว่าเรา(ขันธ์5)มาจากที่ไหนแล้วจะสิ้นสุดตรงไหนอีกอย่างการทดลองจะมีขึ้นเร็วๆนี้


    ---------------------------------------------------------------




    จากความรู้เรื่องควาร์ก
    มีการพยากรณ์ ว่า โปรตอนไม่น่าจะเสถียรอย่างสมบูรณ์แต่ก็น่าจะสลายด้วยช่วงชีวิตประมาณ 10 <SUP>31</SUP> ปี


    เมื่อถึงเวลาที่โปรตอนสลายตัว อนุภาค ควาร์ก และกลูออน จะมีความเป็นอิสระ

    เกิดเป็น สถานะที่เรียกว่าควาร์ก กลูออนพลาสม่า ซึ่งคาดว่าจะมีอุณหภูมิสูงประมาณ 100000เท่า ของอุณหภูมิที่ใจกลางดวงอาทิตย์
    กินเวลา 4 pico-second หรือ 4 ส่วนพันล้านของวินาที

    บางท่านบอกวาสภาวะตรงนี้คือบิ๊กแบง
    (ตรงจุดนี้ ถ้าการทดลองครั้งใหม่ของศูนย์วิจัยนานาชาติเซิร์น ประสบผลสำเร็จ เราอาจได้คำตอบที่ชัดเจน)

    ที่เวลาประมาณหนึ่งในล้านวินาทีหลังจากบิกแบง อุณหภูมิของเอกภพจะต่ำลงพอที่จะให้ควาร์กรวมตัวกัน (เกิดการหดตัวของเอกภพ) กลายเป็นโปรตอน นิวตรอนและอนุภาคอื่นๆ ซึ่งประกอบเป็นสสารต่างๆ ที่เราเห็นในปัจจุบัน


    http://en.wikipedia.org/wiki/Quark-gluon_plasma



    -------------------------------------------------------------


    ทั้งหมดเป็นเรื่องทางโลก ดำรงอยู่ไม่เกินขันธ์5 รู้ไว้เพื่อตอบคำถามคนรุ่นใหม่ให้เข้าใจ
    แล้วค่อยวกกลับมาที่เรื่องของใจ

    จบที่ใจ ใจเป็นใหญ่ ใจคือที่สุด

    ใจที่ละผู้รู้ได้แล้ว ก็เท่ากับปลดพันธนาการทุกอย่างออกจากตัว

    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2008
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    โอ้โห

    รูปสี่ คือ กาแล็กซี (Galaxy)ทางช้างเผือกของเรา มีรูปร่างเหมือนกังหัน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 แสนปีแสง
     
  6. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    เห็นชอบคำนวณกัน ทักเสียหน่อย

    เรื่องการถวายผ้าไตรให้พระอชิตะ มีข้อความจากบางตำราว่าพระโมคคัลลานะ
    เดินทางไปด้วยจิตเพื่อตามหาบาตรของพระพุทธองค์ จนหลุดขอบเขต
    พุทธันดร จนหลงหาทางกลับไม่ได้ แต่สุดท้ายก็กลับมาได้ แล้วกลับมา
    ยังเวลาที่ต่อเนื่องกันบนโลก ใน ที่ประชุมสงฆ์ ไม่มีการเหลื่อมของเวลาอัน
    เนื่องมาจากการเคลื่อนที่เร็วเกินกว่าแสงเลย
     
  7. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    E=MC^2

    มวลนิดเดียว สามารถแปลงเป็นพลังงานมหาศาลได้
    มวลและพลังงานสามารถเปลี่ยนรูปกันได้
     
  8. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    หุหุ แยกบันทึกที่เป็นตำนาน กับ คำสอน ออกจากกันให้ได้จะไปไวมาก ^-^
     
  9. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    แจ่มครับ

    ที่เสนอมา ก็เพราะเอามาจากคนพลังจิตนี้แหละ เห็นเขาถือกันอยู่ ก็ยกให้ดู
    ให้ได้พิจารณาในสิ่งที่ถือกัน

    ส่วนผมนั้น ไม่ขอวิจารณ์ ขอยกถามเท่านั้น
     
  10. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    พอทรายไหมว่า พุทธันดร เท่ากับส่วนไหน ของจักรวาล ในรูป ?
     
  11. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    เอ...ควรเป็นรูปล่างสุด และยังต้องเกิดดับอีกหลายรอบอยู่
     
  12. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    ผมเคยถอดจิต วิ่งไปครึ่ง ทางช้างเผือกแล้วกลับมาที่ร่าง จิตตอนนี้รู้ว่านั่นคือครึ่งทางช้างเผือก แล้วก็ไปหาเส้นผ่าศูนย์กลางของทางช้างเผือกว่าเดินทางกี่ปีแสง
    เลยทำให้รู้ว่าจิตสามารถเดินทางได้เร็วกว่าแสง
     
  13. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    นั่นสิครับ ผมจึงยก กรณีของพระโมคคัลลานะมา

    ที่นี้ ถ้าเกิดการเคลื่อนที่ๆไวมาก ย่อมมีการใช้พลังงาน

    เมื่อใช้พลังงาน ย่อมมีการสลายของมวล และยังต้องมี
    เวลาเข้าไปสัมพันธภาพอีก คือ มีการสูญไปของเวลา
    ตรงการสูญไปของเวลาจึงเป็นประเด็นที่น่าสงสัย น่าตั้งคำถาม

    เพราะ เรื่อง แสง กับ มวล มันไม่หายไปไหน อันนี้ก็เป็นไปตาม
    สมการ โดยมีพลังงานเป็นส่วนควบคุมสมดุล แต่ในสมการไม่
    ได้กำหนด t ลงไป เพราะมันเป็นสัมพันธภาพ หรือ กล่าวว่า
    มัน ขนาน ก็เลยสงสัย แล้วก็จี้ขอสงสัยตรงจุดนี้ เผื่อท่านทั้ง
    หลายแสดงความรู้มา จะได้แจ่มกัน ( คือ ผมไม่รู้นะครับ )
     
  14. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อ้อ มีคำพูดของพระอยู่เหมือนกัน ขอยกเอาไว้กัน คนงง ในโพสที่แล้ว
    เพราะพยายามมองหาตัว t

    พระท่านว่า จิตเราไม่ได้เดินทาง เพราะ จิต มันแผ่ซ่านคลอบคลุมไปเสมอ
    พุทธันดรอยู่แล้ว ไม่เกินนั้น ที่นี้ เราจะเดินไปไหน ก็ไม่ใช่การเดินทาง
    เป็นเพียงการระลึกรู้ในจุดที่จิตมันครอบคลุมอยู่ เอามารู้ ถ้าเป็นกรณีนี้
    ก็ตัดเรื่องเวลาออกได้เลย เพราะที่ไหนๆ เราถึงอยู่แล้ว เสมือนยืนอยู่
    ตรงนั้นแล้ว ซึ่งก็ทำให้ไม่ต้องใช้พลังงานอะไร แล้วก็ไม่ต้องเสียมวล
    เพราะ เทวดา ไม่มีมวล จะได้สอดคล้องกับเรื่องเหล่านี้ด้วย

    แต่การจะรู้ตรงจุดนั้นได้ ต้องใช้การระลึกที่เร็วมากๆ สติเร็วมากๆ อันนี้
    ก็ไปสอดคล้องกับกรณีของพระอนุรุธอีก

    ก็ขอเสนอเป็นข้อมูลนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2008
  15. ผีเสื้อราตรี

    ผีเสื้อราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +283
    คิดถึงคุณเอกวีร์ ตอนนี้จิตอยู่ข้างหลังคุณเอกวีร์แล้ว^-^
     
  16. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ไม่รู้ว่าคุณ WebSnow จะเข้ามาอีกไหม เพราะท่านเป็นผู้สันทัดใน
    พุทธันดร ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการเสริมคุณ kodomo ในการชี้แจง
    กับคุณใบไม้ ในกรณี พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ต่างดาว
    ( http://palungjit.org/showthread.php?t=126754 )

    เพราะถ้าในเขตที่ท่าน WebSnow ทราบนั้นกินอาณาเขตแค่ไหน ก็
    จะยืนยันได้ว่า ถ้าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นบนโลกแล้ว ดาวดวงอื่นจะมี
    พระพุทธเจ้าอีกหรือไม่ ถ้ามี ต้องออกไปจากขอบเขตใดถึงมีได้ และ
    ต้องใช่เวลาอีกนานเท่าใด จนกว่าในเขตพุทธันดรเดิมถึงจะสิ้น และให้
    มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นใหม่ได้ ทั้งเวลา และขอบเขต จะได้ทำให้คุณใบ
    ไม้เขาเลิกพิจารณาถึง
     
  17. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870

    [​IMG]
     
  18. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    ตามทฤษฏีสัมทพันธภาพพิเศษ บอกไว้ว่า
    เมื่อความเร็วสูงขึ้นเวลาจะหดลง
     
  19. Nu_Bombam

    Nu_Bombam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,030
    ค่าพลัง:
    +4,915
    อืม....เข้ามาหาความรู้....
     
  20. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    มีต่ออีกมั๊ยคราบบ
     

แชร์หน้านี้

Loading...