เทวดาประจำตัว (ตรวจญาณบารมีองค์เทพ..อำนาจญาณบารมี)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย me-pui, 8 กรกฎาคม 2012.

  1. mepui

    mepui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +20
    25/9/61
    ส่วนหนึ่งบรรยากาศการเรียนของ นักเรียนรุ่น3
    สถานี water wave
    ธรรมชาติของจิตและนํ้า อันเป็นสภาวะธรรม(ชาติ)ที่เป็นจริงอยู่เช่นนี้(เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมหรือภาพพจน์ได้ชัดเจนขึ้น)
    ธรรมชาติของจิตนั้นเปรียบประดุจดั่งธรรมชาติของนํ้า
    นํ้าไร้รูปร่าง แปรปรวนและเลื่อนไหลไปตามสิ่งที่บรรจุหรือรองรับ, จิตก็ไร้รูปร่าง แปรปรวนและเลื่อนไหลไปตามสิ่งแวดล้อมที่กระทบสัมผัส(ผัสสะ) คือ แปรปรวนไปตาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์ ที่มากระทบนั่นเอง
    นํ้าประกอบด้วยเหตุปัจจัยต่างๆมาประชุมรวมกันชั่วระยะหนึ่งเช่น H และ O, จิตก็ประกอบด้วยเหตุปัจจัยยิ่งมากหลายมาประชุมกันชั่วระยะหนึ่ง เช่น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตลอดจนสิ่งที่กระทบสัมผัส เช่น รูป เสียง กลิ่น..ฯลฯ. แม้กระทั่งกาย และปัจจัยต่างๆอีกมากมาย (การพยายามหาจิตอยู่ที่ใด จึงหาไม่เจอ), จึงต่างล้วนอยู่ในสภาพ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป หรือเกิดๆดับๆ
    นํ้ามีคุณสมบัติหรือสภาวะธรรมไหลลงสู่ที่ตํ่าเพราะแรงดึงดูดโลก, จิตก็มีคุณสมบัติเหมือนดั่งนํ้าที่ย่อมไหลลงสู่ที่ตํ่า แต่ตามแรงดึงดูดของสังขารความเคยชินที่ได้สั่งสมอบรมอันเนื่องมาจากกิเลสตัณหาแลอุปาทาน, อันคือหมุนไปตามภวจักรปฎิจจสมุปบาทนั่นเอง คือเป็นไปตามสังขารที่สั่งสมอบรมไว้
    ถ้าเราต้องการยกนํ้าให้สูงขึ้น ย่อมต้องออกแรงพยายามฉันใด, จิตจักสูงขึ้นได้ ก็ย่อมต้องออกแรงพยายามปฏิบัติฉันนั้น,
    การยกนํ้าให้สูงขึ้นโดยใช้วิธีการที่ถูกต้องเช่นเครื่องกล,ภาชนะหรืออุปกรณ์ที่ถูกต้อง ย่อมยกระดับนํ้าได้รวดเร็วฉันใด, จิตก็ย่อมต้องการการปฏิบัติอันถูกต้องจึงจักยกระดับจิตให้สูงขึ้นได้เร็วฉันนั้น,
    ธรรมชาติของนํ้า เดือดพล่านเพราะไฟฉันใด, จิตย่อมเดือดพล่านเพราะไฟ อันร้อนแรงที่เผาลนของกิเลส ตัณหา อุปาทานฉันนั้น
    นํ้าบริสุทธ์คือนํ้าที่ไม่มีสิ่งเจือปน, จิตบริสุทธ์ก็คือจิตเดิมแท้ที่ไม่เจือด้วยกิเลสตัณหาอุปาทานนั่นเอง หรือจิตเดิมแท้นั่นแหละคือจิตพุทธะ อันมีอยู่แล้วในทุกผู้คน เพียงแต่ถูกบดบังหรือครอบงําด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน
    เหตุใดน้ำจริงเชื่อมโยงกับจิตใจ
    สถานีนี้มีคำตอบ
    ครูปุ๊ย
    25/9/61
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. mepui

    mepui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +20
    9/10/61
    ไม่ว่าอดีตชาติจะเป็นอะไรๆ จะกี่ร้อยชาติพันชาติ
    หรือ ชาติปัจจุบันไม่ว่าจะ
    หน้าตาดี รำ่รวย เป็นมหาเศรษฐี
    หรือมีความรู้มากมายหลากสาขา ปริญญาเป็น10 ใบ
    รู้ธรรมมะพูดเขียนแปลพระไตรฎิฎกได้ทุกคำ
    จะมีฤทธิ์เข้าออกชาญญาณ ตาทิพย์ หูทิพย์ ได้
    รู้เรื่องจักวาล พลังงาน จักกระ เล่นธาตุแปรธาตุได้
    มีสมบัติมากมายมหาศาลแค่ไหน
    จะมีบุญ วาสนา ความดี บารมี หน้าที่การงาน
    หรือจะเอานิพานหรือสิ่งหลุดพ้นด้วยการคิดเอา
    แต่ตอนตายเอาสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เลยซักอย่าง
    แต่สิ่งเหล่านี้จะเป็นโทษ
    โลกนี้และโลกหน้า ไม่มีได้อะไรกันจริง
    มีแต่ความหลง ที่สืบต่อจากอดีต สู่ปัจจุบัน สู่อนาคต
    It is our mind, and that alone, that chains us or sets us free.
    มันคือจิตใจ และสิ่งนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ล่ามโซ่
    เราไว้หรือปลดปล่อยเราให้ อิสระ
    เราตีกรอบและคุมขังจิตวิญญานตัวเอง
    ให้วนเวียนตามที่จิตเราสร้าง
    มิใช่เพียงแค่มุ่งหวังตั้งเอา
    ในการสร้างสะสมหรือลบล้างกรรม
    ถ้าล้าง...
    คือล้าง "อุปาทานในกรรม" นั้นแลจึงบันทึกไว้
    ถูกสมมุติใช้ที่ไม่มีวันจบสิ้น
    กายตายไป แต่ยังหลงความเป็นจิต
    หลงเป็นสิ่งที่คิด
    หรือใช้สมมุติเป็น รู้จักมัน ไม่หลงมัน
    มันก็หมดภพหมดชาติ
    เมื่อใดที่จิตว่าง จึงจะได้เห็นโลกทั้งหลาย
    จะโลกนี้ หรือ โลกหน้า จะราบเป็นหน้ากลอง
    ไร้ความหมาย ด้วยประการทั้งปวง..."
    Cr. @พระปกรณ์นันทน์ ฐิตธัมโม ฐิตธมโม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. mepui

    mepui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +20
    9/10/61 เทวดามีจริง
    #ครูปุ๊ย

    คำสุดท้ายของหลวงปู่ฝั้น
    เล่ากันว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิตหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านเอ่ยกับหมอที่ดูแลท่านเพียงวลีเดียวว่า “ปล่อยนะ”แล้วก็ละสังขาร ปล่อยชีวิตดับไปตามธรรมชาติ เหมือนเปลวเทียนที่ลมเย็นพัดวูบหายไปกายดับ แต่ใจดับมานานก่อนหน้านั้น จากโลกไปสบายๆ ราวกับขนนกเบา แต่หนักแน่นดั่งขุนเขา
    คนที่สามารถเอ่ยคำว่า “ปล่อยนะ” ก่อนตายย่อมจะเข้าใจความหมายของชีวิตอย่างดียิ่งจนไม่คิดจะยึดอะไรไว้
    เพราะว่าชีวิตไม่มีอะไร
    ‘ปล่อยนะ’ หรือ ‘ปล่อยแล้วนะ’ ก็คือการละวาง ปลดปล่อยชีวิตห้วงสุดท้ายไปสู่ความว่างเปล่า
    มาจากความว่าง จากไปกับความว่าง
    เมื่อว่างเปล่า ก็ไม่เหลือเชื้อไฟให้มายา
    เกิดมาไม่มีอะไร แต่ตายไปโดยเข้าใจทุกอย่าง
    หลักธรรมสำคัญที่สุดในทางพุทธสำหรับคนเดินดินเราๆ อาจจะสรุปเป็นวลีเดียวว่า ‘ไม่ยึดมั่นถือมั่น’
    วลีนี้กินความทุกอย่าง เป็นเรื่องทั้งหมดของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นใคร มาจากไหน รวยหรือจน
    เป็นวลีที่ใช้ได้ชั่วชีวิต ไม่ต้องรอตอนกำลังจะสิ้นลมหายใจ
    มนุษย์ทุกคนเป็นส่วนประกอบของเซลล์ประมาณ 37,200,000,000,000 เซลล์ ก่อนหน้าที่เราแต่ละคนเกิดนั้นไม่มีอะไร เมื่อมันมาชุมนุมกัน เราจึงยึดมั่นถือมั่นเป็นครั้งแรกว่ามันคือ ‘เรา’
    ครั้นถึงเวลาอันสมควรบนโลก เซลล์ก็เลิกชุมนุม กลับคืนสู่สภาพไม่มีอะไรตามเดิม
    ดังนั้นจะบอกว่า ‘มีอะไร’ และ ‘ไม่มีอะไร’ ก็ไม่ได้ทั้งคู่ มันคือความว่างเปล่าแต่แรก ชีวิตเราเป็นเพียงมายาฉากหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างนอกเหนือจากนี้ก็คือสิ่งที่เราปรุงแต่งและยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นตัวกูและของกู
    คนที่เข้าใจโลกดีย่อมสามารถ “ปล่อยนะ” เร็วกว่าคนอื่นเรียกว่ามีชีวิตในโลกแต่อยู่เหนือโลก
    ‘ตาย’ ก่อนตาย: ตายจากการครอบครองของกิเลส ตายจากสภาวะตัวกู-ของกู
    ตายในที่นี้ไม่ใช่การดับลมหายใจ แต่คือการอยู่เหนือสภาวะความเป็นมนุษย์และตัวตนใดๆ เป็นอิสระโดยสมบูรณ์
    คนที่มีเงินมากๆ จมชีวิตในกองสมบัติของตน ก็เท่ากับมีชีวิตแห่งพันธนาการ ยามละสังขารก็ยังไม่สามารถละวางเรื่องทางโลกซึ่งเป็นมายาได้
    แต่หากสามารถปลดปล่อยพันธนาการของสมบัติ อยู่เหนือสมบัติ ก็เท่ากับได้ละพ้นโลกตั้งแต่ยังมีลมหายใจปกติ
    คนประเภทนี้ถือว่ามีวาสนาอย่างแท้จริงเข้าใจแล้วนะ
    #ปล่อยนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. mepui

    mepui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +20
    สวัสดีค่ะ
     
  5. mepui

    mepui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +20
    หากมีโอกาสติดตามครูปุ๊ยผ่านทางเพจนะค่ะ
    มีถ่ายทอดสดเกือบทุกคืนค่ะ
     
  6. mepui

    mepui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +20
  7. mepui

    mepui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +20
    ให้ระวังเกี่ยวกับการปฏิบัติและเกี่ยวกับเรื่องจิตหลอกจิตด้วยนะคะเพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากปรมัตถ์สัจจะการปฏิบัติและเข้าใจเข้าถึงจะรู้เห็นเย็นวางในทุกสิ่งไม่มีอำนาจทวยเทพเทวาองค์ใดสูงกว่าอำนาจแห่งความหลุดพ้นและอำนาจแห่งองค์ศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค่ะขอให้หมั่นปฏิบัติฝึกฝนรู้เห็นเย็นวางอย่ายึดติดในกายธาตุแยกจิตแยกกายให้ออกแล้วจะพบคำตอบที่ชัดเจนค่ะหากมีเวลาติดตามครูปุ้ยผ่านทางเพจนะคะ

    Facebook :คลิก https://www.facebook.com/The-ANGEL-Spiritual-2387347947957565/
     
  8. mepui

    mepui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +20
    Thank

    Facebook :คลิก https://www.facebook.com/The-ANGEL-Spiritual-2387347947957565/
     
  9. mepui

    mepui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +20
    เทวดาประจำตัวเป็นมิติที่อยู่สูงเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะรับรู้ได้มนุษย์พวกเราดำรงอยู่ในมิติที่สองหรือสามแต่ภพภูมิของเทวดาประจำตัวจะอยู่ในมิติที่สูงขึ้นค่อยๆศึกษารายละเอียดแล้วติดตามครูปุ้ยผ่านทางเพจนะคะ
    Facebook :คลิก https://www.facebook.com/The-ANGEL-Spiritual-2387347947957565/
     
  10. mepui

    mepui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +20
    ขอบคุณสำหรับการติดตามกระทู้นะคะเทวดาประจำตัวคือมิติที่อยู่สูงเกินกว่าตัวตนของเราจะเข้าใจหากคุณทราบชื่อของเทวดาประจำตัวคุณเข้าใจแต่คุณจำเป็นต้องเข้าถึงมิติที่ 5 หรือมิติที่ซ้อนทับในสิ่งเหล่านี้ด้วยการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนทั้งทางด้านชีวิตและจิตวิญญาณครูขอแนะนำให้คุณค่อยๆติดตามหรือศึกษาองค์ความรู้ไปเรื่อยๆผ่านทางเพจด้านล่างนี้นะคะและหวังว่าคุณจะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของเทวดาประจำตัวมากยิ่งขึ้นสิ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีแล้วในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ซ้อนทับและยากเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะสามารถเข้าใจหรือสัมผัสได้ขอให้คุณมีบาตรฐานบุญเก่าแล้วเชื่อมโยงก็จะสามารถรับรู้และเข้าใจได้ค่ะ

    Facebook :คลิก https://www.facebook.com/The-ANGEL-Spiritual-2387347947957565/
     
  11. mepui

    mepui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +20
    9/10/61
    ปรากฏการณ์ ยิ้มพญายม
    ปรากฎการณ์สุดประหลาด "รุ้งกินน้ำกลับหัว" ซึ่งเปิดเผยโดยดร.แจ๊คกาลีน มิตตัน นักดาราศาสตร์อวกาศแห่งแคมบริดจ์ ของประเทศอังกฤษ หลังเธอสามารถบันทึกภาพดังกล่าวได้ที่หน้าบ้านของเธอเมื่อปี 2008 เมื่อภาพดังกล่าวปรากฎออกมาก็ทำให้หลายๆ คนที่ได้เห็น ต่างพากันตื่นตกใจ และเชื่อว่าอาจเป็นสัญญาณเตือนกลียุคกำลังเกิดขึ้นก็เป็นได้ โดยคำทำนายโบราณเรียกปรากฎการณ์นี้ว่าเป็น "รอยแสยะยิ้มพญายม (Cruach"s Grin)" ซึ่งเชื่อว่าเป็นคำเตือนจากเทพเจ้าถึงวาระสุดท้าย ของโลก ขณะที่ในคัมภีร์ไบเบิลของชาวคริสต์ ก็ได้มีภาพวาด "รุ้งกินน้ำกลับหัว" ประกอบอยู่ในคัมภีร์ด้วย โดยระบุว่าภาพดังกล่าวเป็นลางบอกเหตุโลกกำลังเกิดสงครามระหว่างธรรมะกับอธรรมขึ้น
    ด้านนักอุตุนิยมวิทยาได้มีคำอธิบายถึงปรากฎการณ์ดังกล่าวว่า เกิดจากภาวะภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง การเกิด "รุ้งกินน้ำกลับหัว" นั้นอาจเกิดจากการผสมผสานอย่างผิดธรรมชาติ โดยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ปรากฏการณ์แสง (the optical phenomenon a circumzenithal arc) โค้งออกไปยังดวงอาทิตย์ ซึ่งเกิดขึ้นจากการหักเหของแสงในมุมที่เหมาะสมกับผลึกน้ำแข็ง ละอองน้ำ หรือ อากาศชื้น ในชั้นบรรยากาศ แสดงสีรุ้งสดใส
    ข้อมูลจากhttp://www.pantown.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. mepui

    mepui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +20
    9/10/61สายญาณ
    ขั้นตอนลำดับสายญาณสื่อถึงธรรม
    ขั้นตอนลำดับสายญาณสื่อถึงธรรม
    ถามว่าเป็นร่างทรง แล้วร่างนั้นได้หมดอายุขัยตายลง แล้วสายญาณปู่ฤาษีหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นจะไปอยู่ที่ไหน?
    ท่านไม่ได้ไปอยู่ที่ไหน ท่านก็คืนสู่ธรรม ท่านก็กลับคืนสู่ที่เดิม
    ถ้าท่านต้องการให้ใครเป็นสื่อ ก็สื่อต่อ
    ปกติปู่ฤาษี หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่มาอยู่กับร่างทรง อันนี้เป็นความเข้าใจผิดกัน ท่านอยู่ที่ของท่าน เพียงแต่ท่านสื่อมา เหมือนกันกูเกิ้ล (Google) เราไม่ใช่กูเกิ้ล แต่เราสื่อคีย์รหัสเข้าไป กูเกิ้ลก็จะส่งข้อมูลมาหาเรา เราสื่อเข้าไปรู้
    เช่น เวลานี้ เราอยากเป็นปู่หมอชีวก ปู่หมอชีวกก็เปรียบเสมือนว่าอยู่ในกูเกิ้ลที่มีข้อมูลการักษา เราอยากรู้เราก็สื่อเข้าไป คีย์รหัสเข้าไป เราก็จะรับรู้ออกมา ไม่ใช่ท่านอยู่กับเรา เวลานี้คนทั่วไปเข้าใจผิดกันเยอะเลย คนทั่วไปจะเข้าใจว่าปู่หมอชีวกมาอยู่ในร่างของเรา อย่างนี้ไม่ใช่ เดี๋ยวก็จะเถียงกันว่า องค์ของมึงไม่แท้ ของกูแท้ เดี๋ยวก็เกิดเรื่องเกิดปัญหาตามมา แล้วก็กลายเป็นว่า เขาจะถามว่า ถ้าองค์ท่านมาอยู่กับเรา แล้วที่อื่นจะทำยังไง แล้วทั่วโลกมีทรงกันกี่ที่ แล้วองค์ท่านจะไปยังไง นี่แหละเลอะเทอะกันไปใหญ่
    ข้อมูลต่างๆจะอยู่ในที่มีศูนย์รวม เครื่องเซิฟเวอร์ (SERVER) ให้สำหรับคนทั่วไปได้เข้าไปขอเอาข้อมูล ใครๆ ก็สามารถรับข้อมูลได้ เพียงแต่ว่าเรามีรหัส (password) คีย์เข้าไปได้หรือเปล่า
    ไม่ใช่ว่าท่านมาอยู่กับเรา บางคนคิดว่าท่านมาอยู่กับเรา ยังมาถือสิทธิ์ด้วยว่า อยู่กับเราเป็นของเรา ทำพิธีให้เรา พอใครมีเหมือนกับเราก็ถือว่าเป็นของปลอม
    ถ้าเราอยากรู้สิ่งใดเราก็ต้องเข้ารหัสขององค์เทพนั้นๆ ที่องค์เทพนั้นๆ ดูแลรักษาข้อมูลเหล่านั้นอยู่ เป็นรหัสเบื้องต้น
    แต่ถ้าเราทรงกับเจ้าพ่อคำแดง เจ้าพ่อคำแดงก็จะสื่อเข้าไปสื่อสารกับที่ศูนย์เจ้าพ่อเจ้าแม่อีกทีหนึ่ง เจ้าพ่อเจ้าแม่ท่านก็จะสื่อสารไปยังที่ศูนย์ใหญ่ของข้อมูล คือ ธรรม อีกทีหนึ่ง เมื่อเจ้าพ่อเจ้าแม่รับข้อมูลจากศูนย์ใหญ่แล้ว ก็นำข้อมูลมาส่งสัญญาณสื่อให้เจ้าพ่อคำแดงได้รับรู้ แล้วเจ้าพ่อคำแดงก็มาสื่อให้เรา คือ ร่างทรง ครูบาอาจารย์ หรือผู้รู้ที่บอกกล่าวเจ้าพ่อคำแดง แล้วเราก็ไปบอกญาติโยม ลูกศิษย์ลูกหาอีกทีหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น
    เจ้าพ่อคำแดงก็เป็นเพียงรหัสหนึ่งเท่านั้น
    สรุปง่ายเป็นขั้นตอนดังนี้
    ขั้นตอนที่ ๑ เราต้องการอยากรู้กรรมวิบาก ข้อมูลของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ว่าเราทรงเจ้าพ่อคำแดง เราก็จะประกอบพิธีกรรมสื่อสารกับเจ้าพ่อคำแดง บอกท่านว่า เราอยากรู้ข้อมูลอย่างนี้ อย่างนี้ หมายความว่า เรารู้รหัสในการเข้าถึงเจ้าพ่อคำแดงได้แล้ว เราก็คีย์หรือบอกเจตนาว่าเราต้องการอยากรู้อะไรบ้าง คนโน้น คนนี้ติดกรรมอะไร เป็นต้น
    ขั้นตอนที่ ๒ เจ้าพ่อคำแดงท่านก็รับรหัสที่เราส่งสัญญาณไปให้ท่าน สื่อถึงท่าน ท่านก็รับสิ่งที่เราถาม ไปถามต่ออีกทีหนึ่งก็คือ ศูนย์เจ้าพ่อเจ้าแม่
    แต่ถ้าเราทรงองค์พ่อพญานาค ตนไหนก็ตาม สมมติว่า ทรงพญานาคศรีสุทโธ องค์พ่อพญานาคศรีสุทโธก็จะสื่อข้อมูลไปยังศูนย์กลางใหญ่แห่งพ่อพญานาค เป็นต้น
    สมมติอีกว่า เราทรงผี ผีบรรพบุรุษ หรือผีต่างๆ ท่านก็สื่อไปยังศูนย์กลางแห่งผีใหญ่ ศูนย์กลางแห่งผีใหญ่ก็จะสื่อไปยังองค์พ่อท้าวเวสสุวรรณ เพราะว่าผีต่างๆ สัมภเวสีต่างๆ จะขึ้นตรงต่อท่านพ่อท้าวเวสสุวรรณ
    ขั้นตอนที่ ๓ ศูนย์กลางใหญ่แห่งสายนั้นๆ เช่น สายเจ้าพ่อเจ้าแม่ สายพ่อเวสสุวรรณ สายพญานาค ฯลฯ ท่านก็จะสื่อไปยังเครื่อง เซิฟเวอร์ใหญ่ นั่นก็คือ "ธรรม"
    ธรรมก็จะบอกข้อมูลต่างๆ มาให้กับศูนย์กลางใหญ่ต่างๆ รับทราบ พอศูนย์กลางใหญ่รับทราบก็จะส่งต่อไปยังลูกข่าย เช่น เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ผีต่างๆ
    เจ้าพ่อเจ้าแม่ก็จะส่งไปยัง เจ้าพ่อเจ้าแม่จำเพาะ เช่น เจ้าพ่อคำแดง เจ้าพ่อประตูศักดิ์ ฯลฯ
    เจ้าพ่อคำแดง ก็จะไปบอกยังร่างทรง ร่างทรงก็จะไปบอกลูกศิษย์ เป็นต้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. mepui

    mepui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +20
    9/10/61
    คำว่า ญาณ นั้น อาจหมายถึงสิ่งที่ไปรู้ (ตัวรู้) กับสภาวะต่างๆ ในความหมายของขันธ์ห้า ก็มีคำว่า วิญญาณ ในความหมายนี้ก็คือ ตัวไปรู้ถึงอายตนะจากตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส ว่ารู้สึกอย่างไร ดังนั้น ในความหมายของญาณที่กล่าวถึงนี้ เป็นญาณบารมี ซึ่งเป็นการรับรู้สภาวะภายในที่อยู่เหนือมิติของสภาวะทางโลก เป็นของเก่าที่เราสะสมมาตั้งแต่อดีตชาติ การมีญาณสัมผัสได้นั้น ย่อมมีผลสืบเนื่องมาจากการบำเพ็ญบารมีจนได้ฌานสมาบัติ หรือญาณทัศนะ หรืออภิญญาใดๆในอดีต เมื่อมาในภพนี้ ญาณนั้นก็ยังติดตัวมา แต่จะถูกปิดด้วยทางโลก จนกว่าเราจะเข้าสู่วิถีการปฏิบัติ ญาณเหล่านั้นจึงจะค่อยๆปรากฏออกมา จะช้าจะเร็วขึ้นอยู่กับการปฏิบัติและบุญบารมีเก่า บางคนสามารถเปิดญาณของตัวเองออกมาใช้ด้วยตัวเองได้ แต่บางคนอาจถูกเปิดหรือถูกกระตุ้นจากผู้ที่มีญาณบารมีสูงกว่า หรือมีประสบการณ์กว่า ช่วยเปิดให้ เสมือนบุญของเราถูกบรรจุอยู่ในขวดจนเต็ม แต่เราไม่สามารถเปิดฝาขวดเอาน้ำออกมากินได้ เมื่อมีคนมาเปิดฝาขวดให้ ของเก่าจึงทะลักออกมา แถมเรายังสามารถกรอกน้ำเข้าไปใหม่ได้เรื่อยๆ ญาณเป็นของเราเอง แต่คนอื่นเปิดทางให้เบิกออกมาใช้ได้นั่นเอง ไม่ใช่เอาญาณของคนเปิดไปใส่ให้ ขอเรียกวิธีที่ใช้ว่า "เป็นการกระตุ้นให้รู้ตัว" ก็น่าจะพอพูดได้ จะได้ไม่ดูเป็นคำยิ่งใหญ่เกินไป
    ส่วนผู้ที่บำเพ็ญทางเทพนั้น ส่วนใหญ่จะรับขันธ์อย่างที่เราเข้าใจ แต่พวกเราเป็นสายพุทธะ สายโลกุตระ สายพระนิพพาน จึงแค่ส่งญาณหรือคลื่นพลังไปมาหาสู่กัน เมื่อกระแสญาณถูกเปิดแล้ว ผู้มีบุญย่อมรู้ในกระแสบุญของกันและกัน ปิดกั้นก็ไม่ได้ นี่เป็นเพียงกระแสของญาณแบบพื้นๆ ถ้าสูงขึ้นไปก็คือ การถอดจิตไปนั่งคุยกันอย่างพ่อแม่ครูอาจารย์ และอริยบุคคลที่ท่านส่งถึงกัน เป็นของเล่นของผู้อยู่สูงแล้ว ต่อไปพวกเราก็จะก้าวไปถึงจุดนั้นได้เช่นกัน
    ไม่แน่ใจว่า จะตอบคำถามของท่านได้ชัดหรือไม่ แต่ยืนยันว่า ท่านก็เป็นผู้มีบุญบารมีสูงในขั้นปรมัตถ์แล้ว ครบวงรอบแล้วก็สามารถตัดเข้าพระนิพพานได้เช่นกัน ไม่ธรรมดานะ ในภพนี้อย่างน้อยที่สุด ท่านก็ไม่ต่ำกว่าโสดาบันอย่างแน่นอนสิ่งที่จะยืนยันคำพูด ว่าจริงหรือไม่จริง เมื่ออ่านจบแล้วขอให้สังเกตที่จิตของท่าน ถ้าหากมีความปีติจะเป็นจริง หากเฉยๆ จะไม่จริง
    ขอบคุณ ดร.นันท์

    ครูปุ๊ย
    9/10/61
     
  14. mepui

    mepui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +20
    9/10/61
    #การเรียกบารมีเก่า
    ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่มากจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอธิบายเพื่อให้เข้าใจได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ท่านสามารถดึงของเก่าเหล่านี้กลับมาได้เอง โดยการปฏิบัติธรรมในชาติปัจจุบันอย่างตั้งใจและตั้งมั่น แต่กิเลสยั่วยุในยุคสมัยนี้มีมากมายหลายรูปแบบซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญ ทำให้หลายๆ คนล้มเลิกความตั้งใจในการปฏิบัติเสียกลางคัน การเรียกบารมีเก่ากลับมาเหมือนกับว่าท่านมีตัวช่วยให้ได้ของเก่ากลับมาเร็วและง่ายขึ้นเปรียบเทียบเหมือนกับการย้ายของใช้เดิมของท่านเข้าบ้านใหม่ถ้าทำเองคนเดียวจะหนักเหนื่อยและนาน แต่ถ้าหากมีคนช่วยขนย้ายเข้ามาให้ล่ะ ?

    บางท่านสนใจมากอยากได้ช่วยเรียกให้หน่อย ถ้าท่านคิดว่าอยู่เฉยๆ โดยไม่มีการฐานปฏิบัติธรรมเลย เรียกมาแล้วจะมีฤทธิ์ มีอภิญญา เก่งขึ้นมาทันทีในชั่วข้ามคืน ท่านกำลังเข้าใจผิดอย่างมากหากท่านได้ของเก่าคืนมาแล้วไม่เร่งสร้างบารมีต่อ ถึงแม้ของเก่านี้จะไม่สูญสลายหายไปไหน แต่ก็ไม่ทราบว่าจะช่วยเรียกมาให้ทำไมเอาไว้เมื่อท่านพร้อมจริงๆตั้งใจอยากจะหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้แล้ว การช่วยเรียกบารมีเก่ากลับมาให้นี้ ก็เพื่อให้ท่านได้นำทุนเดิมที่มีอยู่ ไปช่วยเสริมการปฏิบัติธรรม ร่วมกับการใช้ปัญญาของท่าน เพื่อให้ถึงซึ่งการหลุดพ้น เข้าสู่มรรคผลนิพพานได้ในที่สุด ช่วยผู้ที่ต้องการจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดจริงๆ ไม่ได้สนับสนุนให้หลงในอภิญญาคุณวิเศษต่างๆ ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีอยู่จริง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หลุดพ้นฯ ได้
    ขอให้ท่านพิจารณาไตร่ตรองว่าต้องการเรียกบารมีเก่ามาเพื่ออะไรกันแน่ หาคำตอบให้ตัวท่านเอง ตอบคำถามในใจของท่านให้ได้เสียก่อน
    #แล้วค่อยมาหาครู
    ครูปุ๊ย Mepui Thammasiri เทวดาประจำตัว
    ครูปุ๊ย เดอะแองเจิ้ล The ANGEL Spiritual
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. afterjob

    afterjob สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    เรียนคุณ mepui ตรวจเช็คให้ด้วยครับ
    ชื่อ ชยพล การสมพจน์
    เกิด 31 ตุลาคม 2539
    สถานที่เกิด รพ. จ.มหาสารคาม
    อยากรู้เรื่อง เทพ เทวดา ประจำตัว
    รู้สึกว่าตัวเอง มีลางสังหรณ์ค่อนข้างแม่นยำ มีสัมผัสที่หก สัมผัสสิ่งลี้ลับได้ พบเห็นตัวเลขเบิ้ล หรือ ตอง บ่อยๆ และ พบเจอเนื่องบังเอิญ บ่อยครั้ง จนดูเหมือนไม่ใช่ความบังเอิญ ไม่รู้ว่าพวกท่านมาสื่อสารอะไรด้วยหรือเปล่าคิดไปเอง และอยากรู้ว่าตัวเองมีภารกิจอะไรที่ได้รับมอบหมายก่อนมาเกิดเป็นมนุษย์
    ขอบคุณ และอนุโมทนาบุญครั้งนี้ ด้วยครับ
     
  16. Noochjree

    Noochjree สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2018
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +2
    นุชจรีย์ ออมสิน14กุมภาพันธ์2533วันพุธเวลา19.30เกิดที่กรุงเทพค่ะ โรงพญาบาลภูมิพลส่วนตัวเชื่อค่ะว่ามียุ่จิงอยากทราบว่าท่านเป็นคัยแล้วต้องปฏิบัติอย่างไรค่ะ
     
  17. mepui

    mepui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +20
    22/10/2018
    ธรรมชาติจิตมันเร็ว มันไหลไปกับอารมณ์
    เดี๋ยวไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้
    ยิ่งจิตที่ไม่ได้ฝึก ปล่อยไปตามใจมัน
    มันก็ไปเอาความทุกข์ เอาปัญหา
    เอาความเดือดร้อนกลับมา
    แล้วทำยังไงให้จิตเป็น "อิสระ" จากอารมณ์เหล่านั้น ???
    พระพุทธเจ้าเปรียบ 'จิต' เหมือน 'ลิง'
    วิ่งกระโดดไปกระโดดมา
    'สติ' เหมือน 'เส้นเชือก' คอยรั้งไว้
    หน้าที่เราคือต้องมีสติ
    เอาจิตกลับคืนมาอยู่กับตัวเอง เอาสติคุมจิตไว้
    ทีแรก กำลังสติยังอ่อน ไม่ทันจิต
    ถ้าหลุดไปก็เอาใหม่ ฝึกสติไปเรื่อย ๆ
    พยายามให้ครอบคลุมทุกอิริยาบถ
    ทำอะไรอยู่ก็ตามถือเป็นการปฏิบัติธรรมหมด
    เพราะจิตสำคัญ ถ้าใครไม่เจริญสติ มันไม่เท่าทัน
    รู้จักเหตุมัน... เราก็เพิ่ม "กำลัง" ให้สติ
    นั่นคือ "เพิ่มความเพียร"
    เพิ่มความเพียรก็ไม่ได้หมายถึงต้องเลิกจากการจากงาน
    เพราะเราเป็นฆราวาส เรายังต้องทำงาน
    แต่เรา 'เพิ่ม' การปฏิบัติธรรม เข้าไปในงานดีมั้ย
    งานก็ได้ ธรรมะก็ได้ สติรักษาจิตได้ดีขึ้น
    สิ่งที่ทำให้จิตมีความทุกข์เดือดร้อนก็เบาลง
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. mepui

    mepui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +20
    ปัจจุบันครูปุ๋ยไม่ได้ตรวจองค์เทพแล้วค่ะเพราะว่าความเชื่อและความสงสัยไม่ได้ทำให้มนุษย์ปลดล็อคได้จริง
     
  19. mepui

    mepui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +20
    22/10/2018
    อยู่ที่ไหนก็ตามในโลกนี้
    จะเป็นอาชีพไหน
    ห้ามห่างจาก การสวดมนต์ แผ่เมตตา
    ห้ามห่างจากอารมณ์พวกนี้
    เพราะมันจะช่วยชีวิตเรา
    คนที่จะช่วยเรา ก็คือวิญญาณ มากกว่ามนุษย์
    วิญญาณช่วยเราได้มากกว่า เพราะวิญญาณมันมาจากมนุษย์
    ในอนาคต ถ้ามันมีภัยธรรมชาติ มันจะเกิดนะ
    มนุษย์จะฆ่ากัน โรคจะระบาด ใครช่วยเรา ผีนะ ผี
    ยิ่ง...อุบัติเหตุ ภัย ผี ไม่หนีนะ แต่มนุษย์ รักกันปานจะกลืน
    กูไปก่อนละ กูเอาชีวิตรอดก่อนละ แน่นอนเลยนะ
    หลวงตาม้า ตอบปัญหาธรรมะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. mepui

    mepui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +20
    27/10/2018
    #ยิ่งแก้ยิ่งมัดยิ่งหายิ่งไม่เจอ
    การพยายามที่จะควบคุมทุกสิ่งอย่างในโลกนั้นเป็นความพยายามที่ล้างผลาญเวลาและสูบเรี่ยวแรงของเราออกไปหมดมันเป็นการไล่ตามไขว่คว้าในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลยบรรดาใครก็ตามที่ทำเช่นนั้นมีแต่จะพาตัวเองถอยหลังเข้าคลองและไม่มีทางที่จะได้ใช้ชีวิตในวิถีทางที่พวกเขาต้องการได้เลยความกลัวการทำผิดพลาดหรือกลัวที่จะสูญเสียการควบคุมไปหรือความกลัวความล้มเหลวที่ฟุ้งซ่านขึ้นมาเองแบบใดก็ตามแต่ของอัตตานั้น ยังคงเป็นที่กีดกันคนที่ใช้แต่ความรู้สึกจากโลกภายนอกจากการได้ใช้ชีวิตในแบบที่พวกเขาต้องการมากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น
    โลกภายนอกน้อยนักที่จะบอกเรื่องจริงอะไรบางอย่างกับคุณโลกภายในต่างหากที่จะเล่าเรื่องของคุณได้อย่างแจ่มแจ้งและชัดเจนที่สุด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...