อิสลามบิดเบือนเรื่องเวียนว่ายตายเกิดในศาสนาพุทธ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย กล่องไม้ขีดไฟ, 14 กันยายน 2018.

  1. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    รออัลลอทดสอบหมดก่อนละมั้ง จึงเข้ายุคพระศรีอารีย์อายุเป็นหมื่นๆ ปี ตรงกะช่วงผ่านนรกแล้วค่อยขึ้นสวรรค์เลย คงประมาณนี้
     
  2. Yammies

    Yammies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +320
    เวลยังไม่ถึง ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ขอติดตามกระทู้นี้ติด ๆ
     
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ตามนี้ค่ะ หาข้อมูลมาให้ค่ะ.....

    https://www.phuttha.com/พระพุทธเจ้า/ปรินิพพาน/ลัทธิของครูทั้ง-๖

    ในครั้งพุทธกาล มีอาจารย์ที่เรียกว่า "เดียรถีย์" (ผู้ข้ามไม่ถูกท่า) ก็ตกอยู่ในฐานะมีความเห็นผิดทั้ง ๓ ประการนี้ ได้แก่

    อาจารย์อชิตตเกสกัมพล มีความเห็นผิดชนิดที่เป็น นัตถิกทิฏฐิ เห็นว่าการเวียนว่ายตายเกิดไม่มี

    อาจารย์มักขลิโคศาล มีความเห็นผิดชนิดที่เป็น อเหตุกทิฏฐิ เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นไปโดยมิได้อาศัยเหตุ

    อาจารย์ปูรณกัสสป มีความเห็นผิดชนิดที่เป็น อกิริยทิฏฐิ เห็นว่าการกระทำทั้งหลายไม่สำเร็จเป็นบุญหรือเป็นบาปได้

    บุคคลผู้มีความเห็นผิดชั้นอาจารย์ ย่อมมีความเห็นผิดที่หนักแน่นมากที่สุด และบรรดาศิษย์ทั้งหลายก็หนักแน่นมากบ้างน้อยบ้างรองๆ กันลงมา บรรดาอาจารย์และศิษย์ทั้งหลายผู้ไม่เปลี่ยนใจเหล่านี้จะหลีกหนี นรก ไปไม่พ้นอย่างแน่นอนภายหลังจากจุติ คือดับหรือตายโดยไม่มีอะไรมาคั่น
    แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ทรงทรมานอาจารย์เหล่านี้ด้วยวิธีการต่างๆเพื่อจะได้ละ ได้ถอนความเห็นที่แสนร้ายนี้ ออกไปจากจิตใจเสียแต่อาจารย์เหล่านี้ก็รับไม่ได้ ยกเว้นศิษย์ของอาจารย์เหล่านี้บางคนที่มีความเห็นผิดยังไม่เข้าขั้นหนักรุนแรง

    https://th.m.wikipedia.org/wiki/ศาสนาฮินดู

    ศาสนานี้นับถือเทพเจ้าหลายองค์ เรียกว่า "พหุเทวนิยม" เทพเจ้าแต่ละองค์ในแต่ละยุคสมัย มีบทบาท และตำนานต่างกันไป ในแต่ละท้องถิ่นยังมีความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าองค์หนึ่งๆ แตกต่างกันไปด้วย โดยทั่วไปถือว่าชาวฮินดูเชื่อว่ามีเทพเจ้าสูงสุด ที่ได้อวตารแยกร่างออกมาเป็น 3 องค์ เรียกว่า "ตรีมูรติ" คือ

    images (7).jpeg


    https://hattaya099.wordpress.com/2012/12/03/หลักธรรมในศาสนาพราหมณ์/ท


    dattatreya1980s.jpg

    ศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาดั้งเดิมของชนเผ่าอริยกะหรืออารยัน ในสมัยพุทธกาลเป็นศาสนาพราหมณ์แต่ในปัจจุบันเป็นศาสนาฮินดู ในศาสนาพราหมณ์คำว่า ธรรม แปลได้หลายอย่าง คือแปลว่าหน้าที่ก็ได้ แปลว่าสิ่งที่ควรทำก็ได้ นอกจากนี้ยังแปลได้ว่า ความเจริญ ความรู้ของจริงการรู้ความถูกต้อง และรู้ตรรกศาสตร์หลักธรรมสำคัญในศาสนามีดังนี้

    พระธรรมศาสตร์ มีอยู่ ๑๐ ประการ

    ๑.ธฤติ คือ ความพอใจ คล้ายกับคำว่าสันโดษ มีความพยายามอยู่ด้วยความมั่นคงเสมอ ความรู้สึกยินดี และพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่โดยปราศจากความโลภ

    ๒.กษมา ความอดกั้นหรือความอดทน มีความพากเพียร พยายาม อดทน โดยถือเอาเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง

    ๓.ทมะ คือการระงับจิตใจ รู้จักข่มใจของตนด้วยความสำนึกในเมตตา และมีสติอยู่เสมอไม่ปล่อยให้หวั่นไหวไปตามอารมณ์ได้ง่ายๆ

    ๔.อัสเตยะ คือ ไม่ลัก ไม่ขโมย

    ๕.เศาจะ คือความบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ

    ๖.อินทริยนิครหะ คือการปราบปรามอินทรีทั้ง ๑๐ ได้แก่ ประสาทความรู้สึกทางความรู้ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง กับประสาทความรู้สึกทางการกระทำ ได้แก่ มือ เท้า ทวารหนัก ทวารเบา และลำคอ

    ๗. ธี เหมือนกับธิติ ธีร หรือพุทธิ ได้แก่ปัญญา สติ ความคิด ความมั่นคง

    ๘.วิทยา คือ ความรู้ทางปรัชญาศาสตร์ คือรู้ลึกซึ้ง และมีความรู้เกี่ยวข้องกับชีวะ กับมายาและกับพรหม

    ๙. สตยะ คือ ความจริง ความเห็นอันสุจริต ความซื่อสัตย์ต่อกัน จนเป็นที่ไว้ วางใจกัน เชื่อใจกันได้

    ๑๐.อโกรธะ คือ ความไม่โกรธ มีความอดทน สงบเสงี่ยม รู้จักทำจิตใจให้สงบ

    ค่ะ...จะเห็นได้ว่าลัทธิทั้ง ๖ เป็นลัทธิที่มีความเห็นผิดอย่างรุนแรง ส่วนศาสนาพรามหณ์-ฮินดู พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงกล่าวตรัสไว้ว่าเป็นความเห็นผิดอย่างใด แต่เป็นศาสนาที่เน้นพระเวทย์หลัก และมีหลักการปฏิบัติที่นำไปสู่ธรรมที่เจริญ หรือ การทำหน้าที่ที่ดี แต่ก็ไม่ใช่เป็นทางแห่งการพ้นทุกข์ เพราะว่าในศาสนาไม่มีวิธีปฏิบัติแบบศาสนาพุทธที่พระพุทธองค์ทรงให้แนวทางไว้ให้ปฏิบัติ และอาจจะเป็นไปได้ว่า ศาสนาพรามหณ์มีการปฏิบัติแนวทางสูงสุดแค่เกิดไปเป็นพระพรหม (ตามความทิฐิของคนในการนับถือนั้น) เช่น อาจารย์ของพระพุทธเจ้าทั้งสองคนอารฬดาบสและอุทกดาบส ที่พระพุทธองค์คิดจะไปโปรดหลังจากที่ท่านได้ตรัสรู้ แต่ช้าไม่ทันกาลเสียแล้วอาจารย์ทั้งสองได้เสียชีวิตไปเสียก่อน ท่านกล่าวไว้ว่าถ้าอาจารย์ของท่านไม่เสียชีวิตจะบรรลุพระอรหันต์ ไม่ต้องเสียเวลากลับมาเกิดอีก

    เห็นไหมค่ะว่า... เราจะเห็นได้ว่า การที่ศาสนาพรามหณ์ที่พระพุทธองค์ทรงเคยศึกษามาก่อน ก่อนที่จะมาตรัสรู้ด้วยตนเองความสื่อเข้าใจในคำสอนหรือทิฐิของศาสนาพรามหณ์ก็เป็นแค่พระพรหม เพราะสติปัญญาของผู้คนในยุคนั้นมีทิฐิเห็นเพียงนั้น จนกว่าพระสมณโคดมองค์พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้จึงรู้ว่ามีสิ่งที่ยิ่งไปกว่านั้น คือ พระนิพพาน นั่นเอง นะค่ะ

    และจะเห็นได้ว่า ศาสนาพราหมณ์เกี่ยวกับ "ตรีมูรติ"
    จากความหมายด้านบนไหมค่ะ พระผู้สร้าง เป็นผู้ทำลาย เป็นผู้ปกป้องรักษา หากนำมาเปรียบกับสัจธรรมแล้ว ความหมายก็อาจคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ก็ได้ค่ะ การเข้าถึงด้วยสติปัญญาของคนยุคนั้นยังไม่อาจถึงเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ยิ่งไปยิ่งกว่า ก็เลยทรงประกาศศาสนาพุทธขึ้นมาค่ะ

    ก็เลยอยากทราบความเห็นของท่านบ้างนะค่ะว่า คำว่าผู้สร้าง หรือ พระเจ้า ในความหมายของตัวท่านเอง กับ ในความหมายของศาสนาอื่น ๆ ที่ท่านรู้มานะค่ะว่ามีลักษณะอย่างไร? ที่เราชาวพุทธมองว่าพระพุทธองค์ไม่ได้ทรงตรัสสอนไว้ และศาสนาอื่นที่เขาสอนไว้ค้านกับคำสอนของเราอย่างไรอย่างไร? และทำไมคนจึงมองว่าสิ่งที่จิตยิ้มนำมาลงไว้จึงเป็นลัทธิคะ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2018
  4. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ลัทธิเพราะนำคำที่เป็นสัจธรรมไปปนกับสิ่งที่ไม่ใช่สัจธรรมนะครับ อย่างเช่นกรณีที่ผมอ้างอิง พระพรหม พระนารายณ์ พระศิวะ นั้นอ้างอิงถึงสภาวะธรรม ส่วนเรื่องพวกท่านเป็นเทพอะไรยังไงไม่ขอกล่าวถึงครับ ซึ่งอันนี้ขอยอมรับว่าท่านจิตยิ้มหาข้อมูลของศาสนาพราหมณ์มาได้ดีมาก

    ส่วนที่ว่านำสัจธรรมมาปนกับไม่ใช่สัจธรรมตรงไหนก็ตรง

    "ก็คือ กล่าวโดยสรุป คุณสมบัติเดิมแท้ของจิตวิญญาณทุกรูปธรรมก็คือ "ความสุขสงบ" ซึ่งหมายถึง "จิตที่อิ่มเอิบอยู่กับความว่าง"

    จิตที่อิ่มเอิบอยู่กับความว่าง หมายถึง จิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขและความสงบอยู่ในตนเอง โดยไม่มี สิ่งใด เรื่องใด เป็นสิ่งเร้าได้เลย "


    จากหน้า 5 นะครับ


    ส่วนที่ว่าปนตรงไหน คือ "อิ่มเอิบ = ปิติ" "ความรู้สึก = ธรรมารมณ์ " "มีธรรมารมณ์ = มีตน" "มีตน = ไม่พ้น"

    และยังมีอีกกรณีที่แยกกันยากคือ "ว่าง(อรูปฌาน) = ตนคือว่างรู้สึกว่าว่างอยู่" กับว่างของพระพุทธที่พ้นจากขันธ์ทั้งหมด กาย เวทนา จิต ธรรม ดังนั้นจะใช้คำว่าว่างในความหมายเดียวกันไม่ได้ และถ้ายังมีอิ่มเอบ = ยังไม่พ้นความเป็นตน นั่นแลครับ
     
  5. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869


    6.27 นาที คงจะไม่ยาวเกินไป
     
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เข้าใจในสิ่งที่ท่านต้องการสื่อค่ะ เรื่องอรูปฌาน ที่ท่านว่า "ว่าง" นั่นยังไม่พ้นจากความเป็นตนนะค่ะ

    อยากทราบลักษณะของสภาวะนิพพานในอุดมคติของท่านค่ะ ท่านเข้าใจว่าลักษณะนิพพานที่เหนือไปกว่าคำว่า "ว่าง" หรือ อรูปฌานมีลักษณะอย่างไรนะค่ะ

    คำว่าว่า "ว่าง" ในลักษณะของอรูปฌาน กับ คำว่าความว่าง (ความว่าง คือสุญญตา) คือ ว่างไปจากกิเลสตัณหาทั้งปวง ว่างไปจากการมีอัตตา ว่างไปจากการปรุงแต่ง และว่างไปจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิง ทั้งสองลักษณะนี้แตกต่างกันค่ะ

    คำว่า "ความว่าง" ที่เป็นคุณสมบัติของสุญญตา เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่เป็นแก่นแท้ของความว่าง หรือเป็นแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาที่ลึกละเอียดเข้าไปอีกมิติหนึ่งที่เป็นความมีที่เหมือนไม่มี เป็นพลังงานที่มีความสมดุลเต็มไปด้วยแก่นแท้ที่ดำรงอยู่และพร้อมที่จะแสดงพลังอำนาจออกมาให้เห็นได้ทุกเมื่อหากมีการสั่นสะเทือนภายในรูปธรรมทางพลังงาน มันเป็นแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาซึ่งมีความเล็กละเอียดอย่างยิ่งยวด เป็นพลังอำนาจอันบริสุทธิ์ที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้ง มีการสั่นสะเทือนภายในตนเอง เพราะว่ามันเป็นความว่างที่มิใช่ความว่างเปล่า สภาะนี้จึงมีการรับรู้อยู่ถึงความมีอยู่ของบรมสุขของสภาวะนิพพานนั้น

    สภาวะนิพพานรูปธรรมทางพลังงานที่มีการสั่นสะเทือนภายในรูปธรรมตนเองที่มีความละเอียดอ่อนและลึกซึ้งเป็นพลังอำนาจบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยความว่าง (สุญญตา) มีคุณสมบัติเดิมแท้อยู่ที่เป็นบรมสุขอันสุขสงบประณีตไปด้วยสภาวะแห่งรู้ รู้ถึงความสุขสงบละเอียดลึกซึ้งประณีตในตนเอง


    ความคิดของจิตยิ้มนะ สภาวะดังกล่าวจะคงไม่ใช่ตนที่เป็นอัตตา แต่เป็นสภาวะรูปธรรมทางพลังงานที่เป็นแก่นแท้ มีสภาวะการรับรู้ว่ามีอยู่ แต่ไม่ใช่ธรรมารมณ์ที่รู้สึกที่เป็นเรื่องของอารมณ์ที่ปรุงแต่ง คือเว้นขาดไปจากการปรุงแต่งอย่างสิ้นเชิง (วิสังขาร) ค่ะ

    คำว่า "อิ่มเอิบอยู่ในความว่าง"

    เป็นสภาวะที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขและสงบโดยไม่มีคุณสมบัติอื่นใดเคลือบแฝงปนเปื้อนอยู่ในนั้นเลย

    มีความอิ่มเอิบอยู่กับความว่าง หรือ มีความสุขสงบเป็นคุณสมบัติธรรมชาติแห่งตน ความสุขอันเกิดจากความสงบแห่งจิต หรือ การอิ่มเอิบอยู่กับความว่างไปจากอารมณ์รู้สึกอื่นใดของธรรมชาติเองอย่างสิ้นเชิง คงมีแต่ความสุขอันเกิดจากความสงบแห่งธรรมชาติตนเท่านั้น

    และ มีความสามารถในการรู้สึกและรู้คิดทุกสิ่งทุกเรื่องราวได้ด้วยธรรมชาติของตน โดยตั้งมั่นอยู่กับ"การให้" เพื่อการเหนี่ยวรั้งตนเองไว้กับกับผู้อื่น ในอันที่จะสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้อื่นหรือสรรพสิ่งอื่นเสมอ มีการสั่นสะเทือนภายในรูปธรรมทางพลังงานละเอียดอ่อนลึกซึ้งอย่างสูงสุดได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคงโดยไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งเร้าทั้งภายนอกและภายในใด ๆ ในอันที่จะ
    ถูกลดทอน หรือแปรเปลี่ยนไปจากคุณสมบัติเดิม


    สิ่งศักดิสิทธิ์กล่าว่า...สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ต้องรู้ คือ รูปธรรมทางพลังงานแก่นแท้ซึ่งข้ามมิติมาจากสนามพลังงานสากลนั้น ต่างล้วนมีคุณสมบัติเดิมแท้เป็นอย่างเดียวกัน หรือ เหมือนกันทุกรูปธรรม คุณสมบัติที่ว่านั้นก็คือ

    ความเป็นผู้อิ่มเอิบอยู่ในความว่างอย่างยิ่งยวด.....

    คำว่า "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน" ถ้ามนุษย์จะสามารถสั่นสะเทือนตนเองเพื่อให้เป็นหนี่งเดียวกับจิตวิญญาณของตน เพื่อทำหน้าที่เป็นคนสองมิติได้อย่างแท้จริงแล้ว มนุษย์จะต้องทำจิตใจของตนให้สอดคล้องกับคุณสมบัติของจิตวิญญาณของตนเองให้ได้ นั่นคือ

    ๑.ต้องมีอารมณ์ดี คือ อิ่มเอิบเบิกบานอยู่ทุกขณะจิต
    ๒.ต้องมีจิตสงบ คือ มีธรรมชาติสมาธิอยู่ทุกขณะจิต
    ๓.ต้องสำรวมจิต คือ มีจิตที่นีกดี คิดดีต่อเอง ต่อผู้อื่น และสรรพสิ่งอื่นอยู่ทุกขณะจิต


    การแสดงออกทางอารมณ์รู้สึกนีกคิดด้านบวกสูงสุดในสามประการนี้ เท่ากับว่าได้พบหรือเข้าถึงการขับเคลื่อน "ธรรมจักร" ในตนเองด้วยจิตของมนุษย์ด้วยตนเองเรียบร้อยแล้ว

    คิดว่าอย่างไรคะ?
     
  7. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ผมว่าที่พระศาสดาไม่ไปสอนเพราะพวกเขาเหล่านั้น
    เป็นเหมือนดอกบัวบานในโคลนตม
    นึกภาพออกนะ เป็นดอกบัวประเภทที่5

    เรื่องพระผู้สร้างนั้นมีอยู่ ผู้ดูแลก็มี
    แต่ยังมีอาสวะกิเลสอยู่ในดวงจิต
    แต่เจ้าของเข้าใจว่าหมดกิเลสแล้ว


    พระเจ้านั้นไม่มี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2018
  8. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ยังไม่จบอีกเหรอท่านจิตยิ้ม
    จิตพุทธะไม่มีคำว่าผู้อิ่มเอิบอยู่ในนั่น

    ผมว่าคุณรักษามันไว้ทำไมละครับ
    หรือรักมันมาก มันเป็นตัวอันตราย
    หาอุบายทำลายมันไป ไม่ต้องรักษาอะไร
     
  9. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ท่านจิตยิ้มนี้น่าจะเป็นพระผู้สร้างมาเกิดนะ
    ผมดูลักษณะแล้ว
    จิตละเอียดมาก

    แต่ทำลายเชื้อเกิดไม่ได้ต้องมาเกิดอีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2018
  10. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ช่วยขยายความพระผู้สร้างหน่อยซิคะว่าท่านคิดว่าอย่างไร นะค่ะ อยากรู้ว่าใช่เป็นลักษณะที่จิตยิ้มเข้าใจหรือเปล่า !เพราะคำว่า เขาเข้าใจว่าหมดกิเลสแล้ว น่าจะเป็นลักษณะอะไรบางประการที่แตกต่างกับสิ่งที่จิตยิ้มรู้มาอย่างแน่นอนค่ะ

    ที่จริงแล้วคำว่า เป็นการให้คำสื่อความหมายให้เข้าใจตรงกันตามสมมุติบัญญัติ แค่นั้นค่ะ เพราะคำว่าพระเจ้า ในสมมุติบัญญัติอาจหมายถึงเทพองค์ใดองค์หนึ่ง หรือว่าเป็นผู้แลจักรวาลแห่งทางช้างเผือกนี้หรือเปล่าคะ!! แต่ที่จริงแล้วถ้าไม่นำเอาคำนี้มาใช้ การสื่อความหมายสมมุติบัญญัติให้เข้าใจมิใช่หมายถีง เทพเจ้าใด ๆ เลยค่ะ

    พระ คือ ผู้สูงส่ง
    เจ้า คือ ผู้ยิ่งใหญ่

    พระเจ้าคือ ผู้ยิ่งใหญ่ที่สูงส่ง หากไม่ใช่การมีกิเลสอัตตา สิ่งนั้นคือ สิ่งใด!! น่าคิดไหมค่ะ
     
  11. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ผมว่าท่านจิตยิ้มหาเวลาว่างสักเจ็ดวัน
    ทำความเพียร พิจารณาจิตตัวเอง

    เอาให้เชื้อเกิดมันแตกกระจายไป
    น่าจะดีกว่า

    แล้วค่อยมาเขียนจิตพุทธะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2018
  12. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    นี้ก็สาเหตุหนึ่งว่าทำไมพระพุทธเจ้า
    ไม่พูดเรื่องใบไม้นอกกำมือ


    ทรงเน้นแต่เรื่องกายกับจิตของแต่ละคน
    แค่ศึกษาจิตตัวเองให้ท่องแท้ ชึ่งนำไปสู่
    การพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง ก็พอแล้ว
     
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ใบไม้นอกกำมือนี้สอนให้รู้ว่า จักปราถนานิพพานกันเถิด บรมสุขุมละเอียดลึกซี้งนั้นมีอยู่ สุขอื่นๆ ใดในโลกมิอาจเปรียบปาน เชื่อว่าชาวพุทธหลายคนยังคงคลางแคลงเรื่องสภาวะนิพพานกันอยู่ค่ะ บางคนนะคะคิดไปโน่นเลยว่าไปนิพพานว้าเหว่ไม่มีอะไร สุขทางโลกถึงแม้จะสุขทุกข์ปะปนกันบ้างก็ยังมีอะไรน่าค้นหา บางคนไม่ปราถนาไปเลยก็มีค่ะ หรือ ปราถนาก็ไม่เข้าใจลักษณะที่เป็นจริงได้เพราะไม่เคยสัมผัส อย่างน้อยก็รู้ว่าอุปมาอุปมัยให้พอให้เข้าใจบ้างก็ยังดีค่ะ สำหรับผู้ที่หาตำตอบเหล่านี้อยู่ค่ะ
     
  14. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    อยู่กับพระเจ้ามีแต่เรื่องเครียดๆ เพราะไม่รู้จะพึ่งใคร เหลือตัวเลือกสุดท้ายคือพระเจ้านี่แหละ ถึงจะเป็นกรรมที่หนักแต่ก็ผ่านมันมาแล้ว ผมไม่รู้มีดวงอะไรกับพระเจ้านักหนา แต่ก็ต้องพลาดกับตัวล่อลวงเยอะนี่แหละ กว่าจะกลับสู่โลกจริงได้เพ้อมานา
    แล้วแต่ความชอบแต่ละคนเพราะความคิดผมมันเบรคไม่อยู่แล้วเพราะเล่นของใหญ่ไว้เยอะ ถึงจะทุกข์แต่ก็ยังมีความหวังจากความเชื่อผิดๆ ของผมอาจเป็นการปลดปล่อยวิญญาณสู่ที่สงบอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นความสุขแบบใหม่ในโลกที่ดีกว่าเดิมก็เป็นได้
     
  15. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    เห็นด้วยเลยครับ ถ้าหมายถึงผู้ที่เข้าใจว่าตนเป็นพระเจ้า เพราะเนื้อกายละเอียดกว่าสภาวะธรรมรอบข้าง

    ส่วนพระเจ้า(ของจริง)คือแดนนิพพานครับ
     
  16. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    หายได้นะครับถ้าเพียรฝึกจริงๆ น่ะครับ เพราะการปฏิบัตินี่เพื่อดับทุกข์ล้วนๆเลยนะครับ
     
  17. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    เคยได้ยินคำว่า "เต๋าซ่อนอยู่ในทุกสรรพสิ่ง" ไหมครับ ที่บรรดาเหล่าเซียน(ผู้ปฏิบัติเป็นพระปัจเจก) ได้ค้นพบสภาวะธรรมนี้ ซึ่งเป็นธรรมระดับโลกุตระ(เหนือโลก)

    ธรรมระดับโลกียะ(เกี่ยวกับโลก)[เกี่ยวข้องกับอัตตาจิต] นั้นคือการกำหนดจิตต่างๆทั้งหมด โดยดูไปไหนรู้สึกที่นั้นทั้งหมด แต่นอกความรู้สึกนั้นเรากลับรู้อยู่ แปลกไหมละครับ ทั้งๆที่ไม่ได้เพ่งไปที่มันแต่ทำไมถึงได้รู้อยู่ และสภาวะรู้นั้น ดับไม่ได้แต่โดนปิดบังได้ ไม่เชื่อท่านลองทำยังไงก็ได้ให้ไม่รู้สิครับ มันทำไม่ได้แน่นอน อย่างตอนหลับเราก็รู้อยู่แต่หากเราเป็นสภาวะหลับ รู้ที่อยู่ภายนอกจะเริ่มโดนบดบัง ไปเองครับแต่มันทำลายรู้ไม่ได้ ดังนั้นแล้วนิพพาน คือ รู้ครับ หากเราเลิกดูได้ โดยการออกจากอัตตาจิต(ออกจากตน)/ดับตน/ระเบิดตนทิ้งไป เมื่อไม่ดูสิ่งที่เหลือก็คือ "รู้" ครับ


    ปล.ท่านจิตยิ้มจะเชื่อไม่เชื่อก็ตามสะดวกครับ เพราะผมอธิบายไปหมดแล้ว และภาษาของท่านจิตยิ้มนั้นไม่ตรงตามอาการ เช่นอิ่มเอิบกับว่างของท่านนั่นแลครับ ผมเลยไม่รู้จะอธิบายยังไงให้ท่านเข้าใจในแบบของผมแล้วแลครับ

    ขอฝากไว้ให้พิจารณานะครับ

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดวงตาเห็นธรรมได้เกิดแล้ว ญาณได้เกิดแล้วปัญญาได้เกิดแล้ว วิชชาได้เกิดแล้ว แสงสว่างได้เกิดแล้วแก่ตถาคต ในธรรมที่ไม่เคยสดับมาก่อนว่า อริยสัจคือทุกข์นั้นเป็นธรรมที่ควรกำหนดรู้"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2018
  18. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    จิตไม่เคยตายไม่เคยสูญ
    จิตเป็นธาตุรู้ มันทำหน้ารู้ทุกอย่าง
    แต่ไม่รู้ตัวมันเอง

    ปัญหามันอยู่ตรงนี้


    มันถึงไปหลงอยู่กัยสิ่งต่างๆที่ถูกรู้ ที่มันไปสัมผัสเข้า
    ตัวผู้รู้นี้ไม่สนใจ

    ถึงได้โดนมันหลอกเอา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2018
  19. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ในพุทธศาสนาแยกสองฝั่ง
    ฝั่งสมมุติ
    ฝั่งวิมุติ

    ฝั่งสมมุติคือจิตที่มีอาสวะห่อหุ้มอยู่อันเป็นเชื้อเกิด
    พาจิตไปเกิดในภพภูมิต่างๆ

    ฝั่งวิมุติคือจิตที่หมดอาสวะแล้วเป็นจิตบริสุทธิ์
    หมดเชื้อเกิดแล้วที่จะพาให้เกิดอีก

    พระพุทธะเจ้าจึงสอนทำจิตให้บริสุทธิ์
     
  20. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    เขียนแบบนี้ดีกว่า
    เพราะคำว่านิพพานนั้นมีปัญหาอยู่นะ
    พระพุทธเจ้าก็ยืมคำนี้มา เพราะมีการพูดกันในสมัยนั้น
    มีการโต้เถียงกันในสภาวะนิพพาน
    พวกฝึกฌานตายแล้วไปเกิดเป็นพรหม
    เข้าใจตัวเองอยู่แดนนิพพาน

    พรหมบางตนก็เป็นใหญ่เพราะมีจิตอุเบกขา
    และเมตตาเช่นท้าวมหาพรหม
    เป็นผู้ดูแลจักรวาลและโลก

    และมีพรหมอีกหลายพวก
    เพราะพรหมมีหลายชั้น
    แต่ละชั้นก็มีผู้เป็นใหญ่

    มันก็มีหน้าที่ของตัวเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...