เรื่องเด่น มีวิธีเช็คยังไงครับว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่รับพยากรณ์แล้ว

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ทอนเงิน, 28 มีนาคม 2017.

  1. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    549
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +707
    ขอบคุณที่มาเติมเต็มไห้นะครับและทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้คลายลงไปด้วยการพาหมูคณะไปฝึกมโนมยิทธิครับสายหลวงพ่อวัดท่าซุงที่อุบลครับขอ อนุโมทนากับพระโพธิสัตว์ทุกท่านนะครับ
     
  2. นักเดินทางบอล

    นักเดินทางบอล สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +8
    ผมอายุ 21 อยากได้พระโพธิญาณ และเคยได้เข้าฌาน 1 ตอนอายุ15 ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เลยนะว่าอาการที่ได้คือฌานแต่มารู้ทีหลังหลังจากอ่านคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุง และทรงฌานได้เกือบเดือน หลังจากนั้นฌานเสื่อมและผมไม่เคยได้เข้าฌานอีกเลย แต่จำอารมณ์ฌานได้ว่ามันสุขที่สุดในโลก เลยคิดว่าขนาดฌานมันสุขขาดนี้ถ้ากิเลสหมด หรือเป็นพระอรหันต์จะสุขขนาดไหนเลย อยากจะเป็นพระพุทธเจ้าอยากได้พระโพธิญาณ เพื่อช่วยเหลือดวงจิตอื่น ๆ ไปแดนพระนิพพาน จะได้เจอสุขยิ่งกว่า ฌาน 1 แต่ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นพระโพธิสัตว์นะ แค่อยากได้พระโพธิญาณ และปัจจุบันผมก็เหมือนคนทั่วไป ชอบฟังเพลง เล่นเกม ชอบสาว ๆ สวย แต่ตัวผมก็ไม่รู้สึกตัวเองเป็นคนดี หรือคนเลว รู้สึกว่าถ้าสิ่งไหนทำอย่างนี้ จะได้ผลที่เราต้องการ ก็ทำ ถ้าไม่ได้ก็ไม่ทำ ปัจจุบันก็ทำสมาธิหวังว่าจิตจะเข้าฌานสมาบัติเหมือนเดิม จะได้ทำหน้าที่ได้เต็มที่
    ถ้าถามถึงนิสัยผม เป็นคนตลก เกรียน ๆ ชอบกวนบาทาเพื่อน

    สุดท้ายนี้ขอทิ้งคำพูดเล็ก ๆ น้อยเพื่อท่านที่อยากได้พระโพธิญาณ
    อย่าย้อมแพ้ เข้มแข็งไว้ เพื่อความสุขของดวงจิตที่มีความลำบากเกิดในวัฎฎะสงสาร สู้ ๆ
     
  3. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    549
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +707
    แจ่มเลยครับ
     
  4. คะนึง

    คะนึง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +402
    เมื่อคืนได้คำตอบอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในใจขณะที่นั่งสมาธิค่ะ และได้มาวิเคราะห์กับตนเองในเหตุการณ์เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา

    ฟ้าจัดสรร กรรมเป็นผู้กำหนด

    ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุและปัจจัย มิได้เป็นไปตามความอยากของใคร ๆ

    อย่าอธิษฐานตามใครเพราะด้วยความรักและตัณหา แต่เพราะด้วยความากและความศรัทธาอย่างแรงกล้าที่มีต่อพระโพธิสัตว์องค์นั้น

    เพราะความอยากช่วยนั่นแหละ เป็นจุดเริ่มต้นของรักแท้

    จากประโยคของคำข้อความที่ได้อ่านพบมาแล้วจดจำเอาไว้ในใจถึงความหมายของข้อความเหล่านั้น ทำให้มาพิจารณากับตนเองว่า แน่ใจแล้วหรือที่ต้องการเดินเส้นทางสายนี้ มันทุกข์มากนะ ถ้าปราถนานิพพานจริง ๆ หากเราได้ประสบกับสภาวะนั้นมาแล้วทำไมเราจึงปราถนาสิ่งนี้อยู่ ก็ในเมื่ออดีตที่ผ่านมาไม่เคยได้สมปราถนาสักคราเดียว ได้พบพระโพธิสัตว์ทั้งที่เจอหน้า และไม่ได้เจอหน้าหลายต่อหลายท่าน แต่ทำไมไม่กล้าอธิษฐานก้บท่านใดด้วยหัวใจหนักแน่นมั่นคงเสียที เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า เส้นทางสายนี้เปรียบเสมือนจูงมือกันเดินผ่านทะเลทรายอันร้อนระอุ หากแม้นไร้ซึ่งน้ำใจอันแสนอบอุ่นแล้ว เหมือนกับเรากำล้งถูกทอดทิ้งให้โดดเดียวเดียวดายที่ต้องผจญกับความทุกข์ยาก เพราะว่าไม่รู้จะถูกทอดทิ้งให้โดดเดียวเดียวดายตามลำพ้งในช่วงเวลาไหน!!

    ที่ผ่านมาจะรู้อยู่เสมอว่า พระโพธิสัตว์นั้นต้องมีนางแก้วหลายนาง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วหากทุกคนเข้าใจนิสัยของความเป็นหญิงโดยมากย่อมอยากเห็นตนเองเป็นที่รักแต่เพียงผู้เดียว หากยามใดที่มีมากกว่าหนึ่งในเวลาเดียวกัน การไม่ชอบใจกัน ความอิจฉาริษยาชิงดีชิงเด่นย่อมตามมา และมีการเบียดเบียนกัน ก่อกรรมย่อมตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    เมื่อนางเห็นเป็นเช่นนี้แล้ว นางไม่อยากแข่งขันกับใคร และไม่เคยคิดปราถนาที่จะอยากได้ต่อของที่เป็นของรักของใคร เพราะทราบดีว่า การเอาชนะคะคานกันล้วนนำมาซึ่งการก่อกรรม วันนี้เราชนะ สักวันหนึ่งเราก็ต้องแพ้ เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ได้ปราถนาว่าหากใครที่รักกันและเข้าใจกันได้ดีกว่าเรา ไม่ว่าเรานั้นจะมาก่อนหรือมาหลังจะเป็นผู้เสียสละให้เสมอ เพราะคิดว่า สิ่งที่เหมาะสมที่สุด คือ สิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมแล้ว นั้นคือ ทุกสิ่งล้วนมาจากเหตุที่ได้กระทำไว้ ถ้าไม่ใช่เราก็ควรจะเสียสละให้กับผู้ที่ควรค่าแก่กันและกันได้ทำประโยชน์แก่ส่วนรวมมากกว่าที่เราจะหวงแหนสิ่งนี้ไว้ เพราะเหตุนี้ทำไมจึงมีความเห็นเป็นเช่นนั้น และผู้ที่ท่านทราบบางคนไม่เข้าใจในสิ่งที่เป็นความเห็นของตนที่สั่งสมไว้แบบนี้๑

    ในการอธิษฐานตาม ที่บอกว่าฟ้าจัดสรร กรรมเป็นผู้กำหนด ประสบการณ์ ฟ้าจัดสรรให้ได้พบกัน แต่การกระทำของทั้งสองจะเข้ากัน หรือสร้างเหตุให้ไปด้วยกันนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง หากแม้นว่าฟ้าจะจัดสรร แต่กรรมที่ทำต่อกันก็เป็นตัวกำหนด มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการที่เราอยากจะให้ได้อย่างสิ่งที่ต้องการเลย ทำไมไม่กล้าอธิษฐานกับผู้ใดสักที นอกจากประเด็นดังกล่าวข้างต้น๑แล้ว ยังมีอีกประเด็นหนึ่ง การสร้างความรักและความศรัทธาอย่างแรงกล้าให้เกิดขึ้นภายในจิตใจของนางมันต้องสักขนาดไหน นางผิดไหม!! หากนางต้องพิจารณาในหัวใจอย่างถ่องแท้ก่อน เพราะนางรู้ว่าเส้นทางนี้ต้องเจอกับสิ่งใดบ้าง และอะไรจะเป็นสิ่งที่นำพาหัวใจที่ปราถนาอย่างแรงกล้าของนางให้สำเร็จจนไปถึงจุดหมายปลายทางนั้น โดยที่ไม่ต้องเคว้งคว้างท่ามกลางทะเลทรายอันแผดเผา มิใช่เพราะความเห็นแก่ตัว เพราะรู้ดีว่าเส้นทางสายนี้คือ การช่วยเหลือกันนำสรรพสัตว์พ้นออกจากทุกข์ มิใช่เป็นการช่วยเหลือนางคนเดียวเสียเมื่อไหร่ แม้นางคิดได้ดังนี้นางจึงมีความยินดีที่ท่านนั้นหยิบยื่นการช่วยเหลือทุก ๆ คนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ทำให่เขาเหล่านั้นพ้นทุกข์ได้ ถ้านางคิดอย่างนี้ แสดงว่านางไม่ได้หวงไว้แต่เพียงผู้เดียวอย่างแน่นอน จึงเป็นเหตุที่มาแห่งคำถามค่ะ นิสัยของนางนั้น มีสภาวะเหมาะสมกับสิ่งที่ปราถนาไว้ไหมค่ะ หรือว่านางมีนิสัยเป็นเช่นนี้จะไม่สมปราถนากับท่านใดเลย เชื่อว่ากระทู้นี้มีบุคคลที่ไม่ธรรมดามาอ่านกันมากช่วยแนะนำสิ่งกำลังเป็นอยู่ ณ ขณะนี้ให้ด้วยค่ะ หรือว่าเป็นเพราะนางกำลังตามหาใครสักคนแต่ยังไม่เจอ หรือว่านางมีใครอยู่ในใจแต่ก็ยังไม่มั่นใจ หรือ ว่านางหมดโอกาสนั้นแล้ว...
     
  5. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    549
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +707
    ถ้าเข้าสู่กระแสโลกุตรหรือเป็นพระโสดาบันก็คงหมดโอกาศละครับ
     
  6. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ก็ในเมื่อว่า ฟ้าเป็นผู้จัดสรร กรรมเป็นผู้กำหนด แล้ว แล้วเหตุใดจึงยังคงตั้งคำถามเหล่านี้ขึ้นมาอีกล่ะ ในเมื่อฟ้าเป็นผู้จัดสรร หมายถึง เป็นไปตามเหตุปัจจัย หาใช่เป็นไปตามใจใครไม่ ส่วนกรรมเป็นผู้กำหนด หมายถึง การกระทำของตนๆนั้นแหละจะเป็นเหตุนำพาตนให้เวียนว่ายไปในวัฏฏสงสารต่อไป หรือออกจากวัฏฏสงสารไปได้ อยู่ที่ตนเป็นผู้กระทำตนเองทั้งสิ้น
     
  7. jannarong

    jannarong สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +3
    สวัสดีครับทุกท่าน
    Gunny158 ผมก็พึ่งมารู้ตัวเองว่าปราถนาสัมมาสัมโพธิญาณครับ..เห็นภาพพระพุทธเจ้ามีความปิติอิ่มเอมใจทุกครั้ง ฟังเพลงพระพุทธเจ้าน้ำตำไหลทุกครั้งเลย ...ก่อนหน้าที่จะผมจะรู้ตัวเองผมจะเห็นพระพุทธเจ้าอยู่บ่อยๆๆครับ..คล้ายกับจิตทรงญาณ...ตอนเด็กๆผมชอบการบวชพระ..ใจคิดแต่จะบวช...ชอบอ่านประวัติพระพุทธเจ้า...รักพระพุทธเจ้า...อ่านสุเมธดาบสทีไรน้ำตาคลอตลอดเลยครับ....ก่อนนอนคืนหนึ่งผมเลยอธิษฐานจิตเหมือนGunny158 ว่าถ้าได้รับการพยากรณ์จากพุทธองค์แล้วเป็นนิตยโพธิสัตว์ขอให้พระพุทธองค์มาปรากฏให้เห็นในนิมิตรในความฝันด้วยเทอญ...และคืนนั้นผมเห็นพระพุทธเจ้าครับ...ประทับนั่งที่ดอกบัวปรางค์สมาธิ แล้วตัวผมเองก็นั่งคุกเข้าพนมมือขอพรจากพระองค์...คืนนั้นไม่เห็นอะไรนอกจากพระพุทธเจ้าครับ...จนรู้สึกตัวตอนประมาณตี2ครึ่งครับ...ผมทำบุญหรือทำอะไรก็แล้วแต่มีเป็นด้วยการช่วยเหลือหรือให้ผู้อื่นมีความสุขจิตจะอธิษฐานให้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณในทุกครั้ง....คือจะต้องทำไม่ทำไม่ได้จิตต้องการที่จะทำครับ...ไม่เคยคิดจะลาและไม่เคยคิด...อยู่มาวันหนึ่งลูกผมบอกว่าจะขอเป็นเกิดเป็นลูกผมตลอดไป (ลูกผม 7 ขวบ)....ทั้งๆๆที่ผมไม่เคยบอกว่าผมปราถนาพระโพธิญาณ...แต่ผมจะสอนธรรมให้กับลูกผมเสมอ...ตั้งแต่ลูกผมเกิดมาลูกก็ชอบพระพุทธรูปเห็นพระยกมือไหว้เองเลยครับ...ลูกผมชอบช่วยเหลือคนครับ...ผมเคยสังเกตุตอนดูซีรีย์พระพุทธเจ้าลูกผมจะชอบแอบร้องไห้อยู่บ่อยๆๆครับ...ผมตัวมีเหตุการณ์อะไรอีกเยอะเลยครับที่จะเล่าเอาแค่นี้ก่อนครับ
    ผมขอให้บุญรักษา...ธรรมรักษา...คุณพระรัตนตรัยปกป้องคุ้มครองทุกท่านครับ คิดปราถนาสิ่งใดก็ขอให้สำเร็จทุกประการครับ
     
  8. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    549
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +707
    อนุโมทนาสาธุครับมีพระโพธิสัตว์เข้ามาเพิ่มอีกองค์ละ
     
  9. นักเดินทางบอล

    นักเดินทางบอล สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +8

    ถ้าคุณกับพระโพธิสัตว์ทำบุญร่วมกันมา ไม่ว่าอย่างไรบุญกุศลก็ต้องพามาเจอกันอยู่ดี
     
  10. Chabob

    Chabob Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2018
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +59
    อาการพี่เหมือนของผม แต่ผมไม่รู้ว่าอาการนี้ชื่อว่าอะไร ผมหาข้อมูลเปรียบเทียบอาการที่ตัวเองกำลังติดอยู่ จนมาถึงอนุโลมญาน ผมคิดแบบในแง่ลบเลย ไม่ใช่อนุโลมญานหรอก ผมเลยพิจารณาว่าผิดตรงไหน ศีลครบ ทุกอย่างครบหมด ไม่หลงปิติไม่คิดตามในนิมิตร แล้วทำไมไปต่อไม่ได้จิตออกจากสมาธิดื้อๆเลย แต่จิตใจของผม ไม่อยากเป็นพระอรหันต์นะ ผมเรียกไม่ถูก ไม่อยากเป็นสายเดียวกับหลวงปู่มั่นอ่ะ ผมอยากไปให้สุด ผมไม่มีอาจารย์สอน อาจารย์ที่อยู่กับผมตลอดเวลาคือ อย่าหลงตัวเอง ตอนนี้ผมเลือกหนทางตัวเองแล้ว แต่ไม่มีใครยืนยันอีกเสียงให้ผมแค่นั้น มีคนเคยบอกว่า ตัวเองย่อมรู้เอง จริงครับแต่สำหรับผมตัวเองรู้แล้วจะต้องเรียกคนมาตรวจสอบอีกทีเพื่อความแน่ใจ แถมนิดนึง เวลาที่จิตผมรวมยากหน้าของหลวงปู่โตจะลอยมาในจิตผม หลวงปู่โตก็เป็นอาจารย์ผมอีกคนครับ
     
  11. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    549
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +707
    ขอบคุณที่มาอัพเดทครับช่วงนี้พากันสวดมนต์เจริญสติแผ่เมตตานะครับสถานการณ์ไม่ค่อยปกติครับสาธุ
     
  12. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,962
    ค่าพลัง:
    +1,481
    อย่าเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นสาระเลย จะอนิยตหรือนิยตะ เขาไม่มาเสียเวลาสนใจเรื่องแบบนี้นะ ไม่อยากก้าวล่วงนะแต่ ไร้สาระจะคิดว่าต้องเป็นแบบนั้นถึงทำแบบนี้ได้ ถ้าไม่เป็นก็จะทำไม่ได้ ความคิดแบบนี้นะโพธิสัตว์ไหนมันจะมี พระโพธิสัตว์เขาจะมาสาระวนกับความคิดปัญญาอ่อนที่เอาชนะตนเองไม่ได้เสือกอยากชนะมารหรือคนอื่น...สงสัยจะพากันกินอิ่มและฝันมากไป
     
  13. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    549
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +707
    เป็นไงบ้างครับสบายกันดีอยุ่ไหมครับพระโพธิสัตว์ทั้งหลายการบำเพ็ญบารมีเป็นไงบ้างครับ
     
  14. pandykub

    pandykub Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2013
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +62
    ขอสอบถามสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นทีครับ เนื่องจากเห็นว่าบอร์ดนี้มีผู้ทรงธรรมเยอะ
    -เนื่องจากเมื่อเร็วๆนี้ ผมเลิกงานตอนเย็น นั่งรถเมล์กลับบ้าน อากาศในรถค่อนข้างสบายผสมความเหนื่อยจากการทำงาน จึงผลอยหลับไป(ลักษณกึ่งหลับกึ่งตื่น) ในขณะนั้นจิตมันคิด มันพิจารณาของมันเองอ่ะ เรื่องภพ มันคิดของมันแบบไหลลื่น ไม่ติดขัดเลยคับ ไม่เว้นว่างเลย (ไม่เหมือนความคิดที่คิดกันในยามปกติ ที่มีชะงักบ้าง แต่นี่ไม่มีติดขัดเลย) จิตมันพิจารณาเรื่องภพคืออะไร กรรมของสัตว์ที่เหมือนกันบ้าง แตกต่างกันบ้าง ผสมผสานอยู่ในภพนี่แหละ จากนั้นมันจึงพิจารณาความเสื่อมไป ความควบคุมไม่ได้ของภพ เมื่ออิ่มแล้ว(ไม่แน่ใจว่าจะอธิบายคำว่าอิ่มยังไงดีคับ อธิบายไม่ถูก) มันจึงพิจารณาสิ่งอยู่ในภพต่อมา นั่นคือชาติ(คือมันคิดของมันต่อไปเลยคับ เพราะมันพิจารณาถึงสิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด เป็นสิ่งปัจจุบันที่สุด) มันพิจารณาว่าตัวเรานี่แหละคือชาติ คิดว่าย่อมมีความเหนื่อยยาก ย่อมเป็นไปเพื่อชราและมรณา(มันคิดเป็นคำนี้เลยคำ ไม่ได้ใช้คำว่าแก่หรือตาย) ตอนนั้นรู้สึกอิ่มเอิบมาก ชัดมาก มีกำลังมากตอนที่พิจารณาเรื่องชาติอยู่ ขณะที่กำลังพิจารณาถึงความชราและมรณาในชาติ ผมจึงสะดุ้งตื่นและตกใจมากครับ(ตื่นมาพบว่าใกล้ถึงบ้านล่ะ) เกิดมาจิตไม่เคยคิดพิจารณาแบบต่อเนื่องถึงเรื่องแบบนี้เลยครับ (เคยเกิดลักษณะนี้บ้างตอนผมจะเผลอหลับ แต่เป็นลักษณะจิตถามเองตอบเองในเรื่องต่างๆ) เลยอยากจะสอบถามท่านทั้งหลายว่า การที่จะให้จิตพิจารณาได้ในลักษณะนี้ต้องทำอย่างไรโดยที่ผมไม่ต้องรอจะผลอยหลับครับ? เพราะผมคิดว่าผมยังขาดสติ คอยกำกับอยู่มาก

    ปล.ตอนนี้ผมหายสงสัย ความมีอยู่ของชาติก่อน ชาติหน้าแล้วล่ะครับ การดำเนินไปของจิตเช่นนี้กระจ่างเลย เพิ่มเติมคือความศรัทธาในพระรัตนไตร และพระธรรมคำสั่งสอนพระองค์ที่เพิ่มมากขึ้น
    ปล.2 ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า พระอริยะเจ้าท่านทำวิปัสสนา ท่านพิจารณาอะไร พิจารณายังไง ตอนนี้พอจะกระจ่างขึ้นบ้างแล้ว ว่าท่านพิจารณาความตั้งอยู่ ความเสื่อมไป ความควบคุมไม่ได้ของสิ่งต่างๆ (ผมค้น google ดู เรื่อง ภพ-ชาติ มันอยู่ในหมวดธรรมปฏิจจสมุปบาท นั่งแสดงว่า จิตมันคิดเรื่อง ความเสื่อมไป และความควบคุมไม่ได้ ของธรรมที่อยู่ในปฏิจจสมุปบาท)
    ปล.3 ความคิดของเราที่คิดๆกันอยู่ทุกๆวันนี้ เทียบไม่ได้กับตอนที่จิตมันคิดของมันเองเลยคับ ทั้งความกระจ่างชัด ความเข้าใจ
    ขอบคุณทุกท่านครับและขอให้เจริญในธรรม
     
  15. pandykub

    pandykub Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2013
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +62
    ขอสอบถามหน่อยครับ สภาวะของภพในความหมายของท่านทั้งหลายคืออะไรครับ เพราะที่ผมอ่านๆมาส่วนใหญ่จะแปลถึงสถานที่หรือภาวะต่างๆกันไปที่สัตว์อาศัยดำรงอยู่ แต่สภาวะการณ์ที่จิตผมมันคิดมันพิจารณาของมัน มันไม่ได้คิดแยกเป็นสถานที่ต่างๆ มันพิจารณาเป็นองค์รวมไปเลย ไม่มีพื้นที่มาเกี่ยวข้องเลย อธิบายคล้ายๆว่าเป็นสภาวะธรรมที่มันครอบชาติเอาไว้ (ไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดยังไง) และอีกอย่างนึงครับ ตอนจิตมันพิจารณาไตรลักษณะในภพหรือในชาติก็ตามแต่ มันต้องพิจารณาทั้ง 3 ประการรึเปล่าครับ เพราะจิตผมมันพิจารณาแต่ ความควบคุมไม่ได้,บงการสั่งการไม่ได้อยู่อย่างนั้น(จิตมันคิดของมันอย่างนี้ ผมได้แต่เฝ้าดูมัน) ข้อความข้างต้นมันแปลว่าอนัตตารึเปล่าครับ เพราะเท่าที่เคยอ่านมา อนัตตาแปลว่า ความไม่มีตัวตน แต่สภาวะที่เกิดขึ้นกับผม มันไม่ค่อยตรงความหมายเท่าไร
    ขอบคุณทุกๆท่านครับ
     
  16. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    549
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +707
    เอาอย่างงี้ครับสมมุติว่าจิตเป็นดวงขาวๆวิญญาณเป็นตัวหุ้มจิตตัวนี้ละครับเป็นตัวสำคัญที่จะไปสู่ภพต่างๆตามกรรมที่สัตว์เหล่านั้นได้ทำเช่นบำเพ็ญณานประจำตัวนี้ก็จะเป็นพรม/มีหิริโอตตัปปะก็จะเป็นเทว/มีศีล5ก็จะได้ความเป็นมนุษย์/ทำกรรมอันหยาปก็จะเป็นอบายภูมิทั้ง4นั่นละครับแล้วแต่ความหนักความเบาขึ้นอยู่กับกรรมที่สะสมตัวนี้ละครับถ้าเราอยู่กับปัจจุบันเราจะเข้าใจธรรมชาติตัวนี้ละครับเป็นตัวก่อภพต่างๆต้นเหตุมันก็มาจากอวิชชานั่นละครับเป็นตัวพาทำๆเพราะไม่รู้ยกตัวอย่างเช่นพระเจ้าอชาติศรัตตรูท่านทำอนันตริยกรรมคือปิตุฆาตแม้ภายท่านจะกลับตัวทำความดีก็มิวายที่ต้องลงนรกเพราะกรรมนั้นเป็นกรรมอันหนักครับตัววิญญานที่มันหุ้มจิตอยุ่นั้นละครับมันจะแปรสภาพไปตามอารมณ์ที่จิตเสวยอยู่ในปัจจุบันครับพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ท่านจึงสอนให้อยุ่กับอารมณ์ที่เป็นกุศลเพื่อยกจิตให้สูงขึ้นเป็นประจำเมื่อทำได้บ่อยๆจิตจะเกิดปัญญาเห็นทั้งคุณและโทษอย่างแจ่มชัดตรงนี้ละครับตรงนี้ละครับท่านเรียกว่าปัญญาหรือวิชชาหรืออะไรก็แล้วแต่ที่บัญญัติเข้าไปครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2018
  17. Norawon

    Norawon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +208
    สาธุคับ
     
  18. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,962
    ค่าพลัง:
    +1,481
    อะไรดีก็ทำไปอะไรไม่ดีก็เลิกทำไม่ว่านิยตหรืออนิยตก็พิจารณาเห็นได้ในข้อนี้...เพราะสติปัญญาที่รู้ว่าไม่ดีแน่ถ้าเบียดเบียนซึ่งกันและกันไม่ดีแน่ถ้าทำใหคนอื่นเดือดร้อน จิตที่สูงคือจิตที่ไม่คิดเบียดเบียนแม้มีใครเบียดเบียนก็...ไม่คิด...ปล่อยไป...เพราะรู้ว่าเราไม่ใช่คนที่จะแก้ไขทั้งหมดและเรามาเพื่อสั่งสมบารมีไม่ใช่เพื่อยั่นทอนบารมี...คงมีเท่านี้ไหม...ไม่รู้สินะคงต้องบอกว่าก็พิจารณาเอาเอง...ทุกคนอาจเป็นแต่ไม่ใช่ทุกคนเป็นได้...ทั้งนี้ข้อจำกัดทั้งหมดน่าจะมาจากตัวเราเป็นผู้กำหนด....อาจบอกว่าต้องการเลิศกว่าใครก็ได้ถ้าถึงเวลา...หรืออาจบอกว่าขอเพียงได้เรียนรู้ก็ได้ถ้ายังไม่พร้อม
     
  19. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,962
    ค่าพลัง:
    +1,481
    ภพในที่นี้ก็เป็นทั้งภพที่เกิดขึ้นเพราะจิตปัจจุบันกำหนดหรืออาจจะเป็นภพเพราะจิตที่ไม่เป็นปัจจุบันกำหนด ซึ่งก็แล้วแต่ถ้าในแง่ของบารมีควรรู้ว่าภพใดเรียกปัจจุบันภพใดเรียกอดีตภพใดเรียกอนาคต แต่ทุกภพล้วนใช้เหุตผลเดียวกันคือ ผ่านเหตุที่เป็นปัจจุบัน จะจำแนกก็คงยากว่าแต่ละภพเป็นอย่างไร เพราะในท่ามกลางปัจจุบันก็มากเหลือเกิน อดีตก็นับไม่ไหวอนาคตก็คงนับไม่ได้...ถ้าอยากนับก็ทำไปคงไม่แปลกอะไรนะคับ
     
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เคยได้พบกับสภาวะธรรมในลักษณะนี้มาแล้วครั้งหนึ่งเหมือนกันค่ะ ตอนนั้นขณะนั่งสมาธิอยู่ และได้เข้าถึงองค์ธรรมข้างในแบบไม่ได้ตั้งใจ หรือ ไร้เจตนาค่ะ ได้มีการกล่าวถึงมรรคแปด เราก็เพียงตามรู้เฉย ๆ แต่ของท่านจะเป็นไปลักษณะจิตมันคิดเอง หรือ พิจารณาและได้มา แต่ของตนเองเป็นลักษณะไปประสบกับสภาวะนั้นเอง และที่ว่าเหมือนกัน ก็คือ มันไหลลื่น ไม่ติดขัด และไม่ว่างเว้น เป็นความรู้สัจธรรมที่ไหลออกมา ตนเองเข้าใจว่าเป็นลักษณะของปัญญาญาณที่เกิดความรู้จาก "จิตสู่จิต"ค่ะ

    จิตเป็นผู้คิดรู้ได้ในทุกสรรพสิ่ง การที่พระพุทธเจ้าลอยถาดบุคลาธิษฐานในคืนวันก่อนตรัสรู้ ก็คือ บ่งบอกถึงนัยยะของสภาวะธรรมภายในเป็นผู้รู้ทุกสรรพสิ่ง อยู่ในศูนย์กลางกลางของดวงจิตในกายเรานี้

    ในลักษณะของท่านที่ได้ประสบกับสภาวะนั้น เป็นลักษณะ "ปัญญาญาณ" ก็คือ สติปัญญาของจิตวิญญาณ ที่เปรียบดั่งดุมล้อธรรมจักรนี้ จะแบ่งเป็นสองขั้น หรือสองระดับ คือ วงนอกสุดจะเป็นระดับ ปัญญาญาณ และวงในสุดจะเป็นระดับสุดยอด ซึ่งมนุษย์อาจเรียกว่า อริยญาณ ก็ได้

    ถ้าเป็นความเข้าใจในสภาวะของตนเองที่ได้พบนะคะ การที่เราได้สภาวะธรรมนั้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ น่าจะเป็นการเชื้อเชิญพบกับสภาวะธรรมของโลกุตระตามวาสนาบารมีของตนเองค่ะ และทำให้เรารู้และเข้าถึงสัจธรรมในยุคธรรมโลกุตระเปิดในยุคกึ่งพุทธกาล ลองถามผู้มีบุญบารมีที่ลงมาสร้างในยุคนี้ก็ได้ค่ะ สำหรับกระทู้นี้พระโพธิสัตว์ว่าแต่ละท่านได้พบกับสภาวะธรรมโลกุตระกันมาน้อยแค่ไหน?

    ส่วนการที่จะเข้าถึงการพิจารณาโดยไม่ต้องหลับนั้น ฐานของกำลังจิตต้องมีกำลัง ก็คือ กำลังของสติ หรือกำลังจิตที่เป็นอุเบกขา นั่นเองค่ะ

    นำบทความนี้มาฝากเพื่อพิจารณา......

    สนทนาธรรมภาคปฏิบัติ ปฏิปัตติวิภัชน์
    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
    จากหนังสือ จิตตภาวนา มรดกล้ำค่าทางพุทธศาสนา
    ผ. ถามว่า การปฏิบัติก็มุ่งต่อความพ้นจากกิเลส แต่ทำไมตั้งใจจะละอาสวะให้หมดไป จึงไม่หมดไปได้อย่างใจ

    ฝ. ตอบว่า อาสวะเป็นกิเลสที่ไม่ประกอบด้วยเจตนา ต้องอาศัยอริยมรรคที่เป็นกุศลพ้นเจตนาจึงละไว้ได้ การตั้งใจละนั้นเป็นกุศลที่ประกอบด้วยเจตนา เพราะฉะนั้นจึงละอาสวะไม่ได้ คงละได้แต่กิเลสที่ประกอบด้วยเจตนา แต่ก็ละได้ชั่วคราว ภายหลังอาจเกิดขึ้นได้อีก เพราะเป็นโลกิยกุศล

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวไว้ว่า....ถ้ามนุษย์คนใดสามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาญาณได้เมื่อใด เมื่อนั้น คำว่า "นิพพาน" การคืนกลับสู่แดนสุญญตาย่อมเป็นจริงได้เช่นเดียวกัน

    เพิ่มเติม....ตามชื่อของกระทู้นี้ค่ะ สำหรับสติปัญญาระดับสูงสุดของมนุษย์ อริยญาณ จะเป็นระดับสติปัญญาที่ใช้ในการคิดสร้างสรรค์ชั้นสูงสุดของมนุษย์ เพื่อการเรียนรู้ตนเองของโลกและจักรวาลในเรื่องที่ยากที่สุดที่สติปัญญาในระดับอื่น ๆ ไม่อาจเข้าถึงได้ และยังเป็นพลังอำนาจสูงสุดทางจิตวิญญาณของมนุษย์ที่สามารถติดต่อสื่อสารกับต้นธาตุต้นธรรมในแดนสุญญตานอกระบบเอกภพอันไกลโพ้นได้ ที่เรียกว่า "การสื่อสารแนวดิ่ง"

    จะต้องเป็นจิตสมถะอย่างแท้จริง คือ สภาวะจิตที่ถึงขั้นอุเบกขาอย่างถาวรแล้วนั่นเอง

    การที่มนุษย์จะยกระดับปัญญาญาณสู่ปัญญาอริยญาณขั้นสูงสุดนี้ได้ มันจะต้องอาศัยพลังจิตขั้นสูงสุด ก็คือ สภาวะจิตที่ถึงขั้นอุเบกขาอย่างถาวร ตามที่กล่าวมานั่นแหละค่ะ ก็คือ การฝึกฝนตนเองอย่างเคร่งครัดเท่านั้นที่จะมีหนทางเข้าถึงสติปัญญานี้ได้

    เปรียบเหมือนนกอินทรีกำลังบิน!

    พระศาสดาแห่งโลกทั้งหลายในแต่ละยุคสมัย ล้วนทรงเข้าถึงการใช้สติปัญญาขั้นสูงสุดนี้ เพื่อรับและนำเอาสัจธรรมทั้งหลายมาเผยแพร่เพื่อสร้างจิตสำนึกทางวิญญาณให้แก่มวลมนุษย์โลกทั้งสิ้น ตามนัยยะบุคลาธิษฐาน


    คำว่า "อนัตตา" ความหมายที่แท้จริงแล้วคือ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ค่ะ ถ้าคำว่า "อนัตตา" บ่งบอกถึง ความไม่มีตัวตน เป็นความหมายที่ผิดไปจากความจริง

    เพราะที่จริงแล้ว...ทุกสรรพสิ่งที่เห็นว่าเป็นอัตตา ความจริงก็คือ "สรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา จะเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งที่เป็นอัตตาเสมอ" หรืออีกนัยยะหนึ่งก็คือ จิตวิญญาณเป็นรูปธรรมทางพลังงานซึ่งเป็นแก่นแท้อนัตตา ที่มีคุณสมบัติของสุญญตา นั่นเอง ดังนั้น....คำว่า อนัตตา เป็นสภาวะไม่ใช่ตัวตน ส่วนคำว่า ไม่มีตัวตนเป็นความหมายที่ผิดไปจากความเป็นจริง ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2018

แชร์หน้านี้

Loading...