กึ่งพุทธกาล..เปิดธรรมโลกุตระ! ไขความลับจักรวาล ไขขปริศนาแห่งธรรมจักร

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jityim, 24 พฤษภาคม 2016.

  1. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    การหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่องที่หมุนเร็วจนเหมือนไม่หมุน....

    การอุบัติขึ้นของแก่นแท้อนัตตาทั้งหลาย เป็นสรรพสิ่งที่สั่งสมอยู่ในสนามพลังงานอันเกิดจากคลื่นความถี่อิสระ(แก่นแท้สรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา) สนามพลังงานทั้งระบบนี้จะลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันแล้วไหลวนไปในทิศทางเดียวกันตลอด และเคลื่อนไหลอย่างต่อเนื่องเรื่อย ๆ ไป คล้ายกับการหมุนวนของน้ำเมื่อเราคนมัน โดยทั้งนี้จุดศูนย์กลางของการหมุนวนต้องคงที่เสมอ

    สนามพลังงานแห่งสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตามิได้หยุดนิ่ง แต่ทั้งระบบกลับเคลื่อนไหลหมุนวนไปรอบ ๆ จุดศูนย์กลาง ของสนามพลังงานที่ว่านี้อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้คลื่นความถี่อิสระ แต่เดิมซึ่งเป็นอนัตตาทุกย่านความถี่ได้มีการจัดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบมากขึ้น ในขณะที่กำลังหมุนวนเพื่อเคลื่อนไหลตนเองเข้าจุดศูนย์กลางของการหมุนวนไปพร้อม ๆ กัน

    ขณะที่คลื่นความถี่อิสระทั้งหลาย ถ้ากำลังหมนุวนเข้าสู่จุดศูนย์กลางอยู่นั้น แต่ละคลื่นจะทยอยอกันนำพาเอาแก่นแท้แห่งความเป็นอนัตตาเข้าไปรวมกันตรงจุดศูนย์กลางของการหมุนวนนั้น จะมีความหนาแน่นแห่งอนัตตาไม่มากนัก เพราะเป็นการหมุนวนยังหลวม ๆ อยู่ เมื่อกาลเวลาผ่านไป แก่นแท้อนัตตาหลายคลื่นความถี่มากขึ้น ความหนาแน่นตรงจุดศูนย์กลาง ยิ่งนานมากเท่าใดความเร็วของแก่นแท้อนัตตา ยิ่งมีอัตราความเร็วสูงขึ้นมากเท่านั้น

    ยิ่งอัตราความเร็วในการหมนุสูงมากเท่าใด บริเวณจุดศูนย์กลางของการหมุน ยิ่งมีความหน่าแน่นแก่นแท้อนัตตาความหนาแน่น ๆ คลื่นความถี่ยิ่งสูงขึ้น ถ้าความหนาแน่นยิ่งสูงมากเท่าใด การหมุนวนของสรรพิส่งที่เป็นแก่นแท้อนัตตาตรงจุดศูนย์กลางยิ่งหมนุเร็วตามไปด้วย

    การถูกนำพาให้หมุนวนเข้าไปรวมตัวกันรอบ ๆ จุดศูนย์กลางจนเกิดความหนาแน่นอันยิ่งยวดของอนุภาคขึ้น โดยการจัดเรียงตัวกันอย่างสมดุลความหนาแน่นอันยิ่งยวดของอนุภาคคลื่นพลังงานทั้งหมดที่มีอยู่นั้น เมื่อบังเกิดขึ้นและมีการจัดระบบในการอยู่ร่วมกันเสียใหม่อย่างมีความสมดุลทั้งระบบแล้ว การอุบัติขึ้นของสรรพสิ่งใหม่หรือรูปธรรมใหม่ ตรงจุดศูนย์กลางการหมุนวนในบัดเดียวนั้นย่อมเกิดขึ้น

    มาต่อค่ะ...สรรพสิ่งที่อุบัติขึ้นด้วยตนเองนี้ จึงเป็นจุดศูนย์รวมของของอนุภาคแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่ยังคงเป็นอนัตตาที่ดำรงอยู่ในสนามพลังงานจักรวาลทั้งหมดทั้งสิ้น

    การอุบัติขึ้นด้วยตนเองจากการรวมกันอย่างหนาแน่นและสมดุลกันของแก่นแท้ของอนุภาคทุกสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาที่ดำรงอยู่ในสนามพลังงานทั้งหมดทั้งสิ้น

    การอุบัติขึ้นมาด้วยตนเองจากการรวมกันอย่างหนาแน่นและสมดุลกันของแก่นแท้ของอนุภาคทุกสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา เป็นสรรพสิ่งที่เล็กละเอียดหนือกว่าความละเอียดใด ๆ เป็นแก่นแท้ผู้สร้างความมีอัตตา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดมีขึ้นของสรรพสิ่งซึ่งเป็นรูปธรรมทางกายภาพในมิติพลังงาน หรือ เรียกว่า สรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาทั้งมวลก็ได้

    ผู้สร้างสรรพสิ่งที่มีอัตตาตัวตนทั้งสิ้น เป็นจุดศูนย์กลางแห่งการสั่นสะเทือน เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเกิดของทุกสรรพสิ่ง ตั้งแต่มิติอนัตตาไปจนถึง มิติของสรรพสิ่งที่มีอัตตา


    ศูนย์กลางของการสั่นสะเทือน ที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสรรพสิ่ง คือ จิตจักรวาลดวงใหญ่ ผู้ก่อกำเนิด หรือ อุบัติขึ้นจากจุดศูนย์กลางของการหมุนวนของพลังงานแก่นแท้สรรพสิ่งที่เป็นอนัตตานั่นเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    สรรพสิ่งที่ยิ่งกว่า "อนัตตา" หรือ "แก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา"

    ซึ่งเป็นความมีที่เหมือนไม่มีนี่เอง

    คือ สรรพสิ่งที่มารวมตัวกันจน สร้างรูปธรรมทางพลังงานที่เป็นจุดศูนย์กลางของระบบให้อุบัติมาด้วยตนเอง
     
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/sMoWW63iC0Q" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    ไขปริศนาความลับของหลุมดำ... และ คลื่นความโน้มถ่วง

    คำสอนของหลวงปู่ดุลย์ "จิตคือพุทธะ"

    หลวงปู่กล่าวไว้ "ความว่างของจักรวาลเข้าคู่กันเป็นเหตุให้เกิดอวิชชา เหตุก่อเกิดที่ใดมีรูป ที่นั่นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั้นต้องมีรูป จึงเป็นเหตุให้เกิดปฏิกริยา ให้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและเกิดกาลเวลาขึ้น"

    คำกล่าวของหลวงปู่ดุลย์นี้พอที่จะยืนยันได้นะคะ


    ที่นี้ถ้าหากคลื่นความถี่อิสระทั้งหลาย หมายถึง สรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาแล้ว อนุภาคของคลื่นความถี่อิสระทั้งหลายก็คือ แก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตานั่นเอง

    ดังนั้น คลื่นความโน้มถ่วง (แรงดึงดูด) ก็คือ สนามพลังงานสากล ที่เป็นสนามพลังงานละเอียดยิ่งยวด

    หลุมดำมีแรงดึงดูดที่สูงมาก ไม่มีวัตถุใดออกไปได้แม้กระทั่งแสง จึงกล่าวได้ว่าเป็นประตูขังจิตวิญญาณ ที่หลุมดำดูดเอาไว้ หากจะหลุดพ้นไปได้ ต้องทำให้จิตหลุดพ้นจากมวลหยาบที่ไม่บริสุทธิ์ใด ๆ หรือ ไร้กรรม จึงจิตวิญญาณบริสุทธิ์ไร้แรงดึงดูดจากระบบเอกภพ ก็คือ เป็นผู้พ้นโลก เหนือโลก หลุดพ้นไปจากโลกค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/ENslxqWJd1s" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    คำสอนของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล ก็พอจะยืนยันได้ค่ะ

    ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณหมุนรอบตัวเอง นี้เอง เป็นเหตุให้จิตเกิดดับ สืบต่อ คอยรับเหตุการณ์ภายนอกภายในที่มากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเข้าไว้ เป็นทุน เหตุเกิด เหตุดับ หรือปรุงแต่งต่อไป จนกว่า กรรมชั่ว-เหตุเกิด จะหมดไป ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณ ก็จะหยุดการหมุน รูปสุขุม-รูปวิญญาณ ซึ่งเกิดมาจากกรรมชั่ว สืบต่อมาแต่ชาติแรกเกิด ก็จะสลายแยกออกจากกันไป คงรูปอยู่ไม่ได้ มันก็กระจายไป ส่วนกิจกรรมดี ธรรมะที่ติดอยู่กับวิญญาณ มันก็จะกระจายไปกับรูปปรมาณู คงเหลือแต่ความว่างที่คั่นช่องว่างของรูปปรมาณูทุกๆ ช่อง ฉะนั้น โดยปราศจากรูปปรมาณู ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน
     
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    น้องหญิง


    แม้ในสหโลกธาตุ ตลอดอนัตริยะจักรวาลก็มี ไม่ว่าจะเป็น เทพเทวา มาร พรหม อมนุษย์ ติรัจฉาน สัตว์นรก นับสติปัญญาถึงที่สุดก็มีเพียงแค่ในทิฏฐิ ๖๒ นอกเหนือจากนั้นเป็นไม่มี

    เมื่อได้เข้าใจและรู้ยิ่ง พิชัยสงคราม คือ ทิฏฐิ ๖๒ ก็ย่อมสามารถเอาชนะศึกได้ในทุกธรรมยุทธ์ หากจักปรารถนา เมื่อถึงฐานะที่สมบูรณ์ ก็ย่อมรู้ยิ่งขึ้นไปอีกว่า มีผู้ไม่ยอมแพ้ด้วยอรรถด้วยพยัญชนะก็มี แต่การยอมจำนนด้วยอรรถด้วยพยัญชนะ อริยะสาวกผู้บรรลุปฎิสัมภิทาไม่ใช่ฐานะ

    เปรียบเสมือนการที่สามารถโอบล้อม ข้าศึกได้ ส่องสุมกำลังให้มากขึ้น จะบั่นทอนกำลังข้าศึกศัตรู ในคราใด หรือมุ่งตัดสเบียงให้ศัตรูอ่อนล้า หากมีกำลังที่เข้มแข็งมากพอก็สามารถกระทำการตีเจาะชัยภูมิที่มั่นข้าศึกได้
    เมื่อทราบใน ทิฏฐิ ๖๒
    ขึ้นใจ สามารถกำหนดรู้ได้ ย่อมชนะ
    ทุกกาล



    น้องหญิงไฉนเธอจึงพลาดท่าเสียที ในสิ่งที่เธอยังไม่พิจารณาเล่า สิ่งที่เธอรู้เธอเห็นเธอสามารถกลั่นกรองให้เป็น ปัตจัตตังที่พึงรู้ได้ด้วยตัวเธอเอง และสามารถแจ้งอธิบายแม้เพียงประการหนึ่งในทิฏฐิทั้ง ๖๒ ประการอันเป็นพิชัยสงครามอันยอดยิ่ง ก็ยังนับว่ามีฐานะเป็นผู้ถือทิฏฐิ อันสมบูรณ์อยู่

    รู้เขารู้เรา ในธรรมยุทธ์ รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง


    อริยะวินัยรู้ตัวว่าพลาดผิดคิดในข้อใดจึงทำการแก้ไข ตามกาลฐานะ อนันตริยะกรรมไม่ทันได้สร้างในชาติ ยังมีเวลาแก้ไข หากแม้สร้างแล้วก็ยังบำเพ็ญตนในธรรมที่สมควรแก่ตนได้ อันจักเป็นพลวปัจจัยในการต่อไป

    รัตนมหาธาตุ สามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะของธาตุหยาบจนละเอียดทุกอย่างได้


    การที่จะหลอมรวมเรื่องราวหรือธรรมทั้งมวลหรือและทุกสิ่งทุกๆอย่างเพื่อตนเอง พรหมจรรย์นี้เพื่อตนเองหรือเพื่อผู้อื่น เป็นปัตจัตตัง หรือ เป็นสารณียธรรม


    ความสามารถที่จะหลอมรวมธาตุปัจจัยอื่นๆ โดยที่ตนเองไม่มีความสามารถที่ร้อนแรงในการเผาผลาญและกระทำตนเองหรือสิ่งอื่นเป็นอย่างภาชนะที่สมบูรณ์ในการหลอม ไม่สามารถแยกธาตุอันนานัปการได้ ไม่สามารถเผาผลาญให้สิ้นจนได้ถึงอมตะธาตุ ก็จักไม่ใช่ผู้ฉลาดในธาตุกุสลตา


    เมื่อปรากฎ ธรรมราชา การหลอมรวมที่เป็นเอกภาพจึงมี
    เมื่อไม่ปรากฎ ธรรมราชา การหลอมรวมจึงเป็นเรื่องที่ฟั่นเฟือน

    จะหลอมรวมสิ่งที่ห่างไกลอันเป็นปัตจัตตัง สิ่งที่รู้เฉพาะตนเอง เรื่องราวบางอย่าง เป็นความจริง แต่ถ้าไม่ใช่ฐานะ ก็ไม่มีทางได้เข้าใจ และถึงแม้บอกไปก็ไม่มีสติปัญญา ที่จะสามารถรับรู้ได้

    เพราะสั่งสมบำเพ็ญบารมีธรรมมาแตกต่างกันทั้งด้วยจริตในกาล การเรียนรู้ด้วยการอาศัยตนเองรวบรวมพิจารณาเพียงลำพังนั้น ยากเย็นยิ่งนัก


    สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ
    สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ

    การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง
    รสแห่งธรรม ชนะรสทั้งปวง
    ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทั้งปวง
    ความสิ้นไปแห่งตัณหา ชนะทุกข์ทั้งปวง
    ผู้ใดให้ธรรมเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย



    ขอให้ท่านพิจารณาเนื้อความดูเถิด ถึงความวิบัติขาดสูญในมูลเหตุของการที่ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    {O}แสดงปัญหาข้อติดขัดในธรรมที่ตรงและชัดเจนที่ส่งผลร้ายแรงที่สุดของเรื่องการบรรลุธรรม{O}



    "ขอจงเป็นธรรมทายาทของพระผู้ทรงทศพลญญาณ"

    ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าในกาลบัดนี้ ไม่มีผู้ใดอีกที่จะทรงพระทศพลญาณ ๑๐ อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะสั่งสอนคอยชี้แนะแนวทางการปฎิบัติให้เราเข้าถึงได้อย่างถึงที่สุดธรรมอันเป็นเลิศ


    "เมื่อมีกำลังนี้พระทศพลณญาน๑๐นี้ ผู้ที่ควรบรรลุ หรือแม้แต่ผู้ที่หลงทาง และหมดสติปัญญาจะหาทาง ตลอดจนผู้ที่ไม่อยู่ในฐานะก็ตาม หากพระองค์ทรงพระประสงค์ ณ ที่ของพระองค์ บุคคลทั้งหลายเหล่านั้น จึงได้ที่พึ่งที่ดี จึงย่อมบรรลุฐานะธรรมที่ควรบรรลุสมความปรารถนาของตน โดยไม่มีที่อื่นไปยิ่งกว่าที่จะมีผู้ใดสามารถ ชี้แจง แนะนำ ผลักดันเพิ่มเติม ในหลักการพิจารณาแก้ไขปัญหาถึงสภาวะที่ติดขัดเพื่อให้ถึงจุดมุ่งหมายคือ การสำเร็จธรรมให้ได้ให้ถึงในที่สุด "

    เพราะท่านรู้ด้วยพระปรีชาญานดังนี้แล พระสาวกผู้เจริญในสมัยพุทธกาลท่านจะสงสัยขัดในธรรมอันใดและต่อมากสักเพียงไร ท่านก็ชี้ทางสว่างได้ั แต่มาจวนจนปัจจุบันนี้เมื่อไม่มีกำลังพระทศพลณญาน๑๐ นี้แล้ว"[ เราก็ต้องทำใจยอมรับชะตากรรม]"ที่ต้องพึ่งพาอาศัยตนเองเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมด้วยตนเองให้จงได้ เมื่อรู้ดังนี้ แสดงว่ามีความเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว สามารถรับรู้เรื่องราวสำคัญเช่นนี้ได้ ท่านทั้งหลายย่อมเจริญในธรรมขึ้นอย่างมากมายอย่างแน่นอน!

    " พระองค์ตรัสว่า ใครจะสอนถูกสอนผิดช่างเถิด เราตถาคตจะแสดงธรรมให้ฟัง "

    {O}พระทศพลญาณ๑๐{O}



    ทศพลญาณ (บาลีเรียก ตถาคตพลญาณ 10 คือ พระญาณอันเป็นกำลังของพระตถาคต 10 ประการ ที่ทำให้พระองค์สามารถบันลือสีหนาท ประกาศพระศาสนาได้มั่นคง


    1. ฐานาฐานญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ฐานะและอฐานะ คือ รู้กฏธรรมชาติเกี่ยวกับขอบเขตและขีดขั้นของสิ่งทั้งหลายว่า อะไรเป็นไปได้ อะไรเป็นไปไม่ได้ และแค่ไหนเพียงไร โดยเฉพาะในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล และกฎเกณฑ์ทางจริยธรรมเกี่ยวกับสมรรถวิสัยของบุคคล ซึ่งจะได้รับผลกรรมที่ดีและชั่วต่างๆ กัน


    2. กรรมวิปากญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ผลของกรรม คือ สามารถกำหนดแยกการให้ผลอย่างสลับซับซ้อน ระหว่างกรรมดีกับกรรมชั่ว ที่สัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ มองเห็นรายละเอียดและความสัมพันธ์ภายในกระบวนการก่อผลของกรรมอย่างชัดเจน


    3. สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ข้อปฏิบัติที่จะนำไปสู่คติทั้งปวง คือ สุคติ ทุคติ หรือพ้นจากคติ หรือปรีชาหยั่งรู้ข้อปฏิบัติที่จะนำไปสู่อรรถประโยชน์ทั้งปวง กล่าวคือ ทิฏฐธัมมิกัตถะ สัมปรายิกัตถะ หรือ ปรมัตถะ คือรู้ว่าเมื่อปรารถนาจะเข้าถึงคติหรือประโยชน์ใด จะต้องทำอะไรบ้าง มีรายละเอียดวิธีปฏิบัติอย่างไร


    4. นานาธาตุญาณ (ปรีชาหยั่งรู้สภาวะของโลกอันประกอบด้วยธาตุต่างๆ เป็นเอนก คือ รู้สภาวะของธรรมชาติ ทั้งฝ่ายอุปาทินนกสังขารและฝ่ายอนุปาทินนกสังขาร เช่น รู้จักส่วนประกอบต่างๆ ของชีวิต สภาวะของส่วนประกอบเหล่านั้น พร้อมทั้งลักษณะและหน้าที่ของมันแต่ละอย่าง อาทิการปฏิบัติหน้าที่ของขันธ์ อายตนะ และธาตุต่างๆ ในกระบวนการรับรู้ เป็นต้น และรู้เหตุแห่งความแตกต่างกันของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น


    5. นานาธิมุตติกญาณ (ปรีชาหยั่งรู้อธิมุติ คือ รู้อัธยาศัย ความโน้มเอียง ความเชื่อถือ แนวความสนใจ เป็นต้น ของสัตว์ทั้งหลายที่เป็นไปต่างๆ กัน

    6. อินทริยปโรปริยัตตญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย คือ รู้ว่าสัตว์นั้นๆ มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา แค่ไหน เพียงใด มีกิเลสมาก กิเลสน้อย มีอินทรีย์อ่อน หรือแก่กล้า สอนง่ายหรือสอนยาก มีความพร้อมที่จะตรัสรู้หรือไม่


    7. ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ความเศร้าหมอง ความผ่องแผ่ว การออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิและสมาบัติทั้งหลาย


    8. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ปรีชาหยั่งรู้อันทำให้ระลึกภพที่เคยอยู่ในหนหลังได้


    9. จุตูปปาตญาณ (ปรีชาหยั่งรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายอันเป็นไปตามกรรม

    10. อาสวักขยญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย

    ขอจงสรรเสริญแด่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ผู้อยู่ในสารคุณนั่นเทอญฯ

    ธรรมเป็นเหตุให้ทำความเคารพข้อที่ ๒

    ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง สาวกทั้งหลายของเราย่อมสรรเสริญในเพราะ
    ความรู้ความเห็นที่แท้จริงว่า พระสมณโคดม เมื่อทรงรู้เองก็ตรัสว่ารู้ เมื่อทรงเห็นเองก็ตรัสว่าเห็น

    ทรงแสดงธรรมเพื่อความรู้ยิ่ง มิใช่ทรงแสดงเพื่อความไม่รู้ยิ่ง ทรงแสดงธรรมมีเหตุ มิใช่แสดงไม่มีเหตุ ทรงแสดงธรรมมีความอัศจรรย์ มิใช่ทรงแสดงไม่มีความอัศจรรย์.

    อุทายี ข้อที่สาวกทั้งหลายของเราสรรเสริญในเพราะความรู้ความเห็นที่แท้จริงว่า พระสมณโคดมเมื่อทรงรู้เองก็ตรัสว่ารู้ เมื่อทรงเห็นเองก็ตรัสว่าเห็น ทรงแสดงธรรมเพื่อความรู้ยิ่ง มิใช่ทรงแสดงเพื่อความไม่รู้ยิ่งทรงแสดงธรรมมีเหตุ มิใช่ทรงแสดงธรรมไม่มีเหตุ ทรงแสดงธรรมมีความอัศจรรย์ มิใช่ทรงแสดงไม่มีความอัศจรรย์.

    อุทายี นี้แล ธรรมข้อที่สองอันเป็นเหตุให้สาวกทั้งหลายของเราสักการะ
    เคารพ นับถือ บูชาเรา แล้วพึ่งเราอยู่.




    จงมีความเพียรพยายาม พรหมจรรย์นี้เป็นของเธอ หรือของใคร หากเธอปรารถนาจะถ่ายทอดสิ่งที่เธอรู้หรือสิ่งที่เธอเห็น เท่าที่เธอจะแสดงออกมาได้ ตามทิฏฐิ ที่เธอหยั่งรู้และเห็นก็สามารถทำได้ ฉนั้นผู้ไม่ยินดีในทิฏฐิของเธอ หรือจักไม่ยินดีในทิฏฐิของเราก็สามารถกระทำได้ด้วยเช่นกัน จึงไม่ควรบังคับใครให้รู้ ให้คิดตามเธอเองหากเขามิได้มีศรัทธาในเธอหรือแม้ในเราก็ตาม เมื่อเธอมีความรู้ที่กว้างขวางมากขึ้น เธอก็จักสามารถรู้ตนเองว่า สามารถนึกคิดอย่างเขาได้ แต่ความคิดทิฏฐิแบบนั้น ยังไม่ใช่จริตอันสาสมแก่ใจของเธอ เธอปรารถนารู้แจ้งใน ทิฏฐิอื่น ก็สามารถทำได้และเป็นได้

    เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง ปลายทางก็คือเส้นทางเดียวกันหากพรั่งพร้อมสมบูรณ์ดีแล้ว



    พรหมจรรย์นี้ของเธอหรือของใคร เฝ้าเพียรพิจารณา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ความผิดบาปที่เกิดขึ้นทุกๆวันนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะมีผู้ที่แสดงธรรมเพื่อความไม่รู้ยิ่ง แสดงธรรมโดยไม่มีเหตุ และแสดงธรรมโดยไม่มีความอัศจรรย์


    แต่แสดงเพื่อให้ได้ลาภสักการะและความสรรเสริญ ทั้งหลายเกิดขึ้นเพื่อความวอดวาย เพื่อฆ่าตนและฆ่าผู้อื่นจึงต้องประสบกับความพินาศทั้งหมด ทั้งในโลกนี้ยังคติโลกหน้า


    ผลกล้วยย่อมฆ่าต้นกล้วย ขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่
    ขุยอ้อย่อมฆ่าต้นอ้อ สักการะย่อมฆ่าคนชั่ว
    เหมือนม้าอัสดรซึ่งเกิดในครรภ์ ย่อมฆ่าแม่ม้า
    อัสดรฉะนั้น ฯ

    https://youtu.be/UqH5X8apgtM
    ศีลธรรมไม่กลับมาโลกาจักวินาศ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2016
  7. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    กระทู้เพ้อเจ้อ...น่ะ มองดูตัวเองดิ..ถ้าตัวเอง มันยังไม่ดีพอ....อะไรๆที่แกคิด ที่แกทำ มันก็ยังไม่ดีพอเหมือนกัน..แปลว่า..หยุดความงี่เง่าของตนเองเถอะ..
     
  8. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    จิต...ไม่ไช่พุทธะ....อิอิ ก็บอกแล้วไง ว่า ตราบใดที่ หลงเชื่อตาม ผู้อื่น..ก็โง่เหมือนเดิม...หยุดเถอะ..ความ..ไม่จริง ของแกเนี่ย

    มัน ปนเปื้อน ความงี่เง่า สุดๆเลย
     
  9. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    แกไปส่องกระจก ดูตนเอง....ถ้าแกเข้าใจว่า ตนเองดีแล้วพอแล้ว..เข้าใจแล้ว...ค่อยมาคุยกันใหม่นะ

    ทุเรชั่น..หว่ะ
     
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ถ้าแกเช้าใจไม่ถูกต้อง แล้ว เอาความไม่ถูกต้อง มาสอนคนอื่น...แกมีกรรมนะ แก้ว
     
  11. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    แกเห็น หรัส มั่ย.....นั่นน่ะ กรรม บังคับ ชัดๆ
    ตราบใดที่ ยังพยายาม...อยากพูดความจริง ทั้งที่ตนเอง..ไม่ยอมรับความจริง.กรรมหนักนะเว้ย
     
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    สัจธรรมความจริง...มันมีไว้ สำหรับ..คนจริง...เท่านั้น
    ถ้าตราบใจ ที่ตนเอง ยัง ไม่จริง...ไม่ต้องไปหยิบมาพูด ไม่ต้องไปจับมาเพ้อเจ้อ ไม่ต้องเฉียดเข้าไปไกล้.....เพราะความจริง มันจะทำลายทุกความไม่จริง...ไม่เว้นใครหน้าไหน

    รอให้ตนเอง เข้าถึงความจริง ของตนเองได้ก่อน..จะพูดความจริง...ก็จะปลอดภัย เอง
     
  13. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    รูป นาม..มันมี....รูปธรรมจริง กับ นามธรรมจริง

    สองอย่าง จะรองรับกันได้..ต้องรู้ด้วยตนเอง..ว่ารูปธรรมความจริงของตน..มัน สามารถรองรับ นามธรรมความจริงได้ แค่ไหน เท่าไหร่...ถ้าแบกน้ำหนักเกิน...ตนเองจะมีภัย

    เรื่องจักรวาล มี....อยู่..แต่ รูปธรรมของตัวเอง..แบกรับได้หมดมั้ย ถ้าหมดคือ รับรู้ได้หมดจะจริง

    แต่ถ้าแบกรับได้ไม่หมด..นั่นถือว่า..ไม่จริง ปลอม..ไม่ควรเอามา ถ่ายทอด
     
  14. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ใครๆก็อยากพูดความจริง อยากเอาความจริงมาพูด.....เรื่องจริงก็เป็นความจริงของมันอยู่อย่างนั้น..แต่ถ้าคนที่หยิบเอาความจริงมาพูด ถ้าตนเอง บริสุทธิ์ไม่จริง..เรื่องจริงที่หยิบมาพูด มัน จะเป็น เรื่อง...โกหก ในทันที...พูดเรื่องจริง แต่คนพูด ไม่จริง....มันไม่รองรับกันไง
     
  15. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ขอบพระคุณค่ะ ขอยืมใช้คำหน่อยนะคะ สงครามยังไม่จบ อย่างเพิ่งนับศพทหาร ถือว่าเรามาช่วยพิสูจน์ความจริงร่วมกันนะคะ เอาไว้ทำหน้าที่จบแล้ว ถ้ามีเหตุปัจจัยที่ส่งผลให้เป็นอย่างไร ค่อยว่ากันอีกทีนะคะ ด้วยความเคารพผู้ทรงคุณ ผู้มากบารมีที่ปราถนาดีทุก ๆ ท่านนะคะ ทั้งที่เห็นด้วย ทั้งที่สนับสนุน ทั้งที่่คัดค้าน ทั้งที่เป็นบททดสอบ ที่ปรากฏให้รู้ และ ไม่ปรากฏให้รู้นะค่ะ

    และเชื่อว่าผู้ที่เข้ามาอ่านในกระทู้นี้ ทุกท่านเป็นผู้มากล้นด้วยบุญบารมีแน่นอนค่ะ อาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ได้ทำอยู่นี้ ..เป็นหน้าที่...อะไรสักอย่าง

    ถ้าถึงจุดนั้นแล้ว...ถ้าร้อยละร้อย ยืนยันว่าผิดแนวทาง ..จะยินดีลบให้ค่ะ

    และคิดว่าไม่ได้ทำให้ผู้ใดหลงทางค่ะ กระทู้นี้สำหรับผู้มีบุญบารมี ที่มีสติปัญญามากอยู่แล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ท่านหลงทางค่ะ หากไม่ใช่แล้ว ..... ผู้ที่เข้ามาอ่านเมื่อรับทราบข้อมูลจะปิดกระทู้...ไม่ยอมรับ....และจะไม่อ่านให้จบนะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2016
  16. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ทำไม...พระพุทธเจ้า ถึงเปิด...สัจธรรมความจริง หมดทุกกระดาน...เพราะ?

    เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสกับความจริงนั้น
    เพื่อทำลายความไม่จริงในตัวเขา

    เพื่อ...ทำลายความไม่จริง....ในตัวคนนั้น..(รับกรรม)
     
  17. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    สัจธรรม..ยืนยัน คำตอบเดียว...เพื่อให้ ..ทุกคน รู้ตัว(รู้ความจริงของตัวเอง รูปนาม)
    ถ้าธรรมใด....ไม่ไช่เพื่อ..รู้ตัว รู้ความจริงของตนเอง...

    ยุคนี้...จะไม่เอาธรรมนั้น..มาแสดง
     
  18. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ธรรมใดๆ ที่ไม่ช่วยให้คนเกิดปัญญา รู้ความจริง ของ ตัวเองๆไม่ได้...ธรรมนั้นไม่ไช่ ธรรมแห่งความหลุดพ้น..ถือว่า เป็น ขยะของพวกหลงผิด
     
  19. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    เปรียบเทียบว่า...สมมุติมีคนหลงป่าบนภูเขา...ธรรม ที่จะช่วยเขาออกมาจากการหลงป่า ออกมาจากภูเขานั้นได้....ธรรมนั้น..จึงสมควรเอามา..พูด ในยุคนี้

    ส่วนเรื่อง..อื่นๆ...ไม่ต้อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2016
  20. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    การช่วยคนอื่น กับการโม้ว่าตนเองรู้ทุกอย่าง...จึงต่างกัน ที่....ปัญญาของ ตัวเอง..ให้ดูตนเอง ให้ช่วยคน..ไม่ไช่ให้มาโม้..ว่า รู้มากมาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...